วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

บิดสุดใจ ไกลเกินฝัน "The World's Fastest Indian"


_____หนังดี ๆ ส่วนใหญ่มักเป็นหนังอัตตชีวประวัติของคนดัง แล้วก็มักถ่ายทอดในลักษณะของหนังดราม่าแต่สำหรับหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างมากเพราะเป็นช่วงเวลาหนึ่งของการเดินทางมาอเมริกาของ เบิร์ตมอนโร แห่งนิวซีแลนด์ ได้พบปะผู้คนแตกต่างอาชีพแตกต่างนิสัยใจคอกัน ความเป็นคนสุภาพอ่อนโยนแบบตาแก่น่ารัก คาแร็คเตอร์ของคนหูตึงนิด ๆ มองโลกในแง่ดีเจออุปสรรคของโลกที่แตกต่างกันของคนต่างวัย เป็นหนังที่ทำให้ดูแล้วอมยิ้มได้ทั้งเรื่อง แม้หนังจะไม่มีอุปสรรคขัดขวางที่ร้ายแรงแต่มันก็อิงมาจากชีวิตจริงที่ดูแนบเนียนราวโจ๊กที่ไม่ได้ใส่ใข่ใส่ผงชูรส เรื่องราวสนุกเรื่อย ๆ และอบอุ่น เมื่อเบิร์ตมาถึงเรื่องก็0ไม่ใช่อุ่นแต่เริ่มร้อนขึ้น เบิร์ตต้องเจอกับอุปสรรคสำคัญคือ ความมีคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าแข่งขันเพราะเขายังไม่ได้ลงทะเบียนแข่ง สภาพอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบเป็นรถก็ช่างเป็นอุปกรณ์ก๊องแก๊งเกือบทั้งคัน ถ้าเป็นผมคงโมโหเป็นบ้าไปแล้ว แต่ความเป็นคนสุขุมใจเย็นและมีความพยายามสูงของตาแก่เบิร์ตทำให้เขาได้ลงแข่งจนได้ แต่กระนั้นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญไปกว่าความเป็นคงมีอัธยาศัยดีของเบิร์ตนั้นมีมากที่สุด มีมากว่าคนไทยสมัยนี้บางคนเสียอีกดู แล้วทำให้ผมนึกถึง ตาบุญชูผู้น่ารัก หนังดีๆ เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกหลงรักที่จะเก็บรักษาไว้ประจำบ้านอีกซักเรื่องแล้วกัน

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

SAD MOVIE


_____สมัยนี้เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หนังเกาหลีมีอิทธิพลกับวงการสันทนาการบ้านเรามาก มีความนิยมมากกว่าหนังฮ่องกงหรือหนังจีนไปแล้วแล้วซ้ำ วัยรุ่นไทยก็นิยมเรียนรู้ภาษาเกาหลีกันมากมายทั้งแบบที่มีเหตุผลและไม่มีเหตุผล แต่ก็ช่างเหอะรู้ภาษาพูดเขียนได้มากกว่า 1 ภาษาก็ยังดีกว่าคนที่รู้แค่ภาษาเดียวอยู่แล้ว เข้าเรื่องนะ สำหรับหนังเกาหลีแล้วก่อนหน้าที่ผมมองหนังเกาหลีเป็นหนังก๊อปปี้จับฉ่ายมาจากหนังดังๆ ของฮอลลีวู้ด ไม่ก็ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น แต่สมัยนี้หนังเกาหลีสู่ตลาดส่งออกสากลยกระดับขึ้นมาก เนื้อเรื่องก็ยังคงเอกลักษณ์อยู่หลายๆ ประการ ที่ผมจะยกตัวอย่างหนัง Sad Movie ก็อาจจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้โด่งดังทำรายได้สูงและเรียกน้ำตาคนดูแทบจะทุกคนจนท่วมจอ ดารานักแสดงก็ใช้ดาราแนวหน้าได้สิ้นเปลืองที่สุด แล้วจะไม่พูดถึงได้อย่างไรกัน

_____หนังเศร้าเรื่องนี้เป็นหนังที่มีเหตุการณ์ความผิดหวังของความรักอยู่หลายคนหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะอกหักเพราะเป็นคนดีเกินไป อกหักเพราะหน้าตาขี้เหร่ ไม่อกหักแต่สูญเสียคนรักแบบถ่ายทอดสด ที่เศร้าโศกสะเทือนหัวใจสุดๆ ก็คือต้องมาเห็นภาพเด็กน้อยสูญเสียแม่บังเกิดเกล้าอย่างไม่มีวันหวนกลับมาได้อีก แต่ละตัวละครที่ไม่เกี่ยวของกันแต่ต้องมาเจอชะตากรรมคั้นน้ำตาคนดู แบบไม่ปะติดปะต่อ ทำให้ผมนึกถึงหนังฮอลลีวู้ดอย่าง “11:14” “Crash” “Babel” สองเรื่องหลังผลงานผู้กำกับเดียวกัน ซึ่งเนื้อเรื่องได้ผูกโยงใจให้มาเกี่ยวข้องกันแนบเนียนอย่างน่าสนใจชวนติดตามกว่า ก็ไม่ใช่ว่าจะต่อว่าหรืออคิดหนังเกาหลี เพียงแต่เห็นความพัฒนาขึ้นมาอีกขั้นของหนังเกาหลี ที่มีหนังหลายประเภทที่ไม่ใช่จะมีแต่หนังตลกฮาขี้แตกขี้แตน หนังรักโรแมนติก หรือหนังพิศวาสฆาตกรรมโหดซาดิสต์ หรือหนังพิสวาสเลิฟซีนสุดๆ ที่ทำให้คนดูอายแทนหนัง ก็ต้องเป็นหนังเศร้าโศกเคล้าน้ำตา ที่มีแต่หนังเอเซียเท่านั้นที่อาจจะทำได้ดีกว่าหนังฮอลลีวู้ดซะอีก

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ล่าคนดุในเมืองเดือด "No Country For Old Men"


_____อุตส่าห์ตั้งชื่อหนังเกือบจะคล้องจองกันแล้วเชียวผมว่าจะให้ชื่อหล่อแบบไม่เร้าใจดีกว่าว่า “เหตุเกิด ณ บ้านนอก” ที่ว่าอย่างนั้นก็เป็นเพราะตัวหนัง ผู้กำกับเองก็ถนัดทำหนังทุนต่ำเนื้อเรื่องน่าเบื่อแต่กลับไม่จำเจ ถ้าเคยดู Fargo มาก่อนแล้วเกิดชอบขึ้นมาก็รู้เลยว่าผู้กำกับเริ่มเอาใจคนดูขึ้นมานิ๊ดนึงแล้ว ประเด็นง่าย ๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตคนเราจู่ ๆ ก็ไปยุ่งเกี่ยวกับอาชญากรแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจมันคิดเองได้มีเวลาตัดสินใจอยู่หลายนาทีในหนัง ระหว่างที่ดูผมเองตัดเอาใจตัวเองเข้าไปในหนังแบบคิดออกก่อนหนังตลอดเวลา นั้นเป็นเสน่ห์ของผู้กำกับจริง ๆ ส่วนใหญ่เราจะดูหนังแบบคาดเดาไม่ถึงตลอด ไม่ค่อยมีหนังประเภทที่คนดูต้องโพล่งออกมา “ว่าแล้วเป็นกูก็ต้องทำอย่างนี้” หรือ “มิน่าล่ะ กูกะแล้วเชียว” มองในแง่ดีก็คือเราได้เข้าไปร่วมเหตุการณ์ของหนังอย่างเต็มใจ ชื่อเรื่องก็บอกว่าล่าคนดุ แล้วก็ดุจริง ๆ ผมมองเห็นอาชญากรโรคจิตตัวจริงในหนังจากคาแร็คเตอร์ของ ซิเกอร์ชุดดำผมทรงผิดยุคที่ดูแล้วผิดปกติแน่ ๆ ใบหน้าซีดเผือดและคำพูดนุ่มนวลแต่เอาจริง ๆ หมอนี่ผู้ร้ายในฝันชัวร์ ๆ ส่วนพระเอกก็เป็นตาแก่นายอำเภอที่มีฝีมือแต่ต้องเดินตามหลังตลอด มันช่างเสียดสีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองประเทศกลังพัฒนาจริง ๆ (เพราะหนังจะไม่มีตัวหนังสือ FBI อะไรทำนองนี้ที่จะทำให้เจ้าหน้าที่ดูแข็งแรงหรืออุ่นใจ มีแต่ความอ่อนเพลียระเหี่ยใจว่ามันจะเจอผู้ร้ายมั้ยเนี่ย? ) หนังประสบความสำเร็จมากอย่างที่ผมเองก็คาดไม่ถึงว่าหนังแนวนี้จะโด่งดังเข้าขั้นหนังดีได้อย่างไรกัน ลองให้พ่อผมดูหนังก่อนก็บ่นกลับว่าหนังอะไรชวนติดตามแต่ไม่จบสงสัยจะมีต่อ? มันก็ขัดใจจริงนี่ครับ อาชญากรรมที่โลกไหนกันครับจะมีวันจบสิ้นไม่ว่ากาลเวลาผ่านไปยุคเก่ายุคใหม่อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีอาชญากรดำเนินกิจกรรมอยู่เสมอ ผุ้ร้ายแค่สะบักสะบอม คนดีก็ไม่ดีเนื้อแท้บทจะตายก็ตายเอาง่าย ๆ ส่วนเจ้าหน้าที่เป็นแค่เต่าเชื่องช้าอย่ามัวหวงศักดิ์ศรีลุกจากเก้าอี้ให้คนรุ่นใหม่ไฟแรงมาทำงานแทนดีกว่า โลกมันเปลี่ยนไปมากแล้ว พ่อผมจะได้ดูหนังที่ตอนจบจริง ๆ ซักเรื่องนึงไงครับ ขอบคุณคร๊าบท่านผู้กำกับ...

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

แพนส์ แลบิรินธ์ อัศจรรย์แดนฝันมหัศจรรย์เขาวงกต "Pan's Labyrinth"

_____คุณคิดว่าคุณกำลังดูหนังอย่าง “แฮรี่พอตเตอร์” งั้นหรือ? “อาณาจักรนาร์เนีย” งั้นหรือ? คุณคิดผิดอย่างแรง! เพราะที่คุณกำลังจะได้ดูคือหนังประชดสงครามอย่างร้ายกาจ ซึ่งเต็มไปด้วยฉากรุนแรงที่นายทหารใหญ่กระทำต่อชาวบ้านในช่วงสงครามกลางเมือง หนังได้สอดแทรกเรื่องเทพนิยายจากการบอกเล่าของ ฟอน (ในภาษายุโรป หรือแพน หรือปัง เทพารักษ์ครึ่งคนครึ่งแพะ) สิ่งมีชีวิตสุดมหัศจรรย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล เปิดเผยว่าแท้จริงแล้ว สาวน้อย โอลิเฟีย คือเจ้าหญิงของอาณาจักรวิเศษที่หายสาบสูญไปนาน และเพื่อค้นหาความจริงโอฟีเลียจะต้องปฏิบัติภารกิจสามอย่างให้สำเร็จ ซึ่งแต่ละภารกิจเต็มไปด้วยจินตนาการอันน่าตื่นเต้น และภาพลักษณ์สิ่งมีชีวิตแสนประหลาดแต่ละตัวดูจะออกแนวมืดหม่นน่ากลัวมากกว่าสวยงามตระการตา นั้นก็การบอกเป็นนัยของเนื้อเรื่อง


_____ผมไม่ค่อยจะสุนทรีย์เท่าไร คุณจะได้เห็นเทคนิคการตัดต่อภาพสุดจะแนบเนียน เป็นภาพทุบตีใบหน้าโดยใช้ของแข็งกระหน่ำตีอย่างไม่ยั้งมือจนใบหน้าแหลกเละเสียชีวิตคามือ ที่หนังเรื่องนี้มีภาพรุนแรงที่เกินไปสำหรับจะให้เด็กไปดู ภาพโปรโมทต่างๆ รวมทั้งรางวัลที่ได้รับมากมายไม่ได้บอกเลยว่าเป็นหนังสำหรับเด็กแต่อย่างใด ใครที่คิดว่าจะให้ลูกดูเพื่อความบันเทิงก็ลองชมดูก่อนนะครับ เพราะนี้เป็นหนังจินตนาการฝันเทพนิยายที่มี ฟอน เป็นตัวละครเทพนิยายเดินเรื่องโดยเด็กน้อยโอลิเฟียผู้ไร้เดียงสา หนังเทพนิยายยุคใหม่ที่ไม่เคยมีใครเห็นภาพความคิดของเด็กในยามหดหู่ว้าเหว่ที่มีจินตนาการฝันเป็นเพื่อนอย่างน่าสงสารที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สมุดโน้ตสิ้นโลก "L Change The World"


_____ถ้าไม่ใช่เพราะติดใจจากเรื่อง เดธโน้ต 1และ2 คงจะทำใจยากจะรับหนังเรื่องนี้ไว้รวมเข้าชุดของสะสมเป็นแน่ แล้วก็อีกยังเป็นหนังที่สร้างจากการ์ตูนสุดฮิตวัยรุ่นบ้านเราก็เลยให้ความสนใจสูง สำหรับหนังก็ไม่ถึงกับจะเป็นหนังคนละเรื่องเพราะเรื่องราวส่วนใหญ่เป็นเรื่องของหนุ่มฉริยะลึกลับที่มีนามเป็นพยัญชนะภาษาอังกฤษว่า แอล ในเรื่องเราจะได้เห็นว่าแต่ละชื่อนั้นน่าจะผูกพันธ์กันเป็นองค์กรแต่ละคนก็ทำหน้าที่ตามความสามารถพิเศษไป สำหรับเวอร์ชั่น แอล นี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเดธโน้ต เป็นเพียงภาระกิจหนึ่งที่เราได้เห็นความสามารถของ แอล แต่ก็เป็นภารกิจสุดท้ายก่อนที่ แอล จะจากโลกนี้ไปด้วยน้ำมือตัวเอง


_____เป็นเพราะกลิ่นไอรสชาติของ สมุดโน้ต ยังคงฝังใจอยู่ทำให้กลุ่มคนดูหนังยังไงก็ต้องติดตามที่จะดู แถมยังใจจดใจจ่อที่จะติดตามเรื่องราวของ แอล และตั้งความหวังว่า แอลจะเป็นนักไขปริศนาโดยที่ยังเป็นต่ออยู่ตลอดเวลา ในตัวหนังเองให้แรงจูงใจกับคนที่ไม่น้อย เนื่องจากการถ่ายทำใช้โครงเรื่องเริ่มต้นฉากที่ประเทศไทย ใช้เด็กชายไทยเป็นตัวละครเอก (ซึ่งดูแล้วหน้าตายังไงก็ยุ่นปี่) เด็กน้อยก็ไม่ธรรมดา เป็นตัวแทนความอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ของไทยจนญี่ปุ่นต้องยอมรับ ควบคู่กับตัวละครเอกอีกตัวที่เป็นเด็กผู้หญิงซึ่งอัฉริยะไม่แพ้กัน หนังดูทันสมัยแบบน่าเบื่อตรงที่ภารกิจคือจัดการกับเชื้อไวรัสอันตรายที่สามารถฆ่าคนได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง เพราะเห็นแนวเรื่องแบบนี้จากหนังฮอลลีวู้ดทั้งเกรดเอ เกรดบี เกรดซี ไปถึงเกรดดี (มีรึเปล่าไม่รู้) ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะได้มาเห็นในหนังญี่ปุ่น แต่ก็อย่างว่า หนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ญี่ปุ่นแท้ เนื่องจากโปรดักชั่นเป็นของ วอเนอร์บราเธอร์ อาจจะนับรวมไปกับหนังฮฮลลีวู้ดก็ได้ (ผมของวางไว้ที่เกรดบี เพราะทำรายได้ในเอเซียไม่น้อย)


_____จากหนังเรื่องนี้ทำให้เราได้รู้จักกับชีวิตของแอลมากขึ้น คำถามที่หลายๆ คนถามกันในโรงหนังหรือว่าบ่นพึมพำกันนักหนาก็กระจ่างแทบจะหมด ผมเองก็สงสัยไม่แพ้คนอื่นๆ ที่เห็นแต่แอลรับประทานขนมหวาน ช๊อคโกแลตตลอดเวลาโดยเข้าใจว่าแอลเป็นคาแร็คเตอร์ของเด็ก แต่เพิ่งจะเข้าใจว่าความจริงมันลึกซึ้งกว่านั้น กระนั้นก็ไม่ควรเอาอย่างขืนใครเล่นสวาปามแบบแอลก็คงไม่แก่ตายหรอกครับ เบาหวานจะรับประทาน อีกเรื่องก็คือท่าเดินหลังค่อมของแอล ชวนให้ผมคิดถึง หนูคลองเตย หรือหนูเชิญยิ้มไม่น้อย เพียงแต่ไม่ได้ออกท่าเป็นนกกระยางให้ขำเล่น แต่ก็รู้สึกถึงคาแร็คเตอร์ของพวกอัจฉริยะนี่ช่ายโดดเด่นและแปลกเหลือทนจริงๆ แล้วหนังจะมีต่อรึเปล่า? ผมเองก็คิดว่า ไม่เห็นยากเลย เรารู้จักแอลไม่ถึงครึ่งเลยเรายังมีโอกาสอีก ถ้าจะมีต่อเป็นภาคแอลก่อนเจอสมุดโน้ต ก็ได้รับการชิมลางให้เรารู้จักแอลหลังเจอสมุดโน้ตแล้วนี่ จะไปยากอะไรคอยดูแล้วกัน

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

พลอย "Ploy"


_____ถ้าจะพูดถึงหนังเรื่องนี้ ในความคิดโดยจินตนาการของผมเองอยากสรุปว่า “นางฟ้า น่าจะมีจริง” นี่ไม่ใช่เพราะความน่ารักของน้องสายป่านหรอกนะครับ แต่เป็นบทสรุปของความรักที่มีต่อกันยาวนานซะจนแทบจะหมดอายุ สลับกับภาพเลิฟซีนสุดเร่าร้อนของหนุ่มอนันดา ที่รับบทบ่อยจนแทบจะเป็นคาแรคเตอร์ไปซะแล้ว เริ่มแรกรักกันมันก็หวานหอมชื่นรื่นรมย์ไปซะทุกวินาที หลังจากอิ่มเอมไม่นานก็จะโหยหากันอย่างหิวกระหายแทบจะกลืนกินกันและกันจนคนดูเองพากันเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าตาม แทบจะร้องเพลงคลอตามไปด้วยซ้ำ จะเห็นได้ว่าไม่มีบทพูดสนทนาระหว่างกันและกันให้คนดูได้ยินซัก แอ่ะ


_____กลับกันกับคู่สามีภรรยาที่เอาแต่ถกเถียงกันแทบจะตลอดเวลา วิทย์ (พรวุฒิ สารสิน) และ แดง (ลลิตา ปัญโญภาส) ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในต่างแดนนานถึง 7 ปี กับรักที่ไม่ใส่สารกันบูด มีเจอสาวน้อยนาม พลอย (อภิญญา สกุลเจริญสุข) สาวน้อยวัยแรกแย้ม ที่กำลังเมายา ช่างแสดงออกถึงภาพตัวตันที่แท้จริงของคน โดยเฉพาะผู้หญิง กลับเป็นแบบอย่างที่ วิทย์ ชมชอบ ส่วนแดงกลับต้องฝืนทนรับพลอยผู้เข้ามาคั่นกลางระหว่างตนกับสามีเป็นอะไรที่ยากจะเปิดใจรับอะไรที่มันกะทันหันปานนี้ ภาพการระทำทารุณกรรมที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงจินตนาการชั่ววูบที่ไม่ได้เกิดขึ้น ที่อาจจะตรงใจกับภรรยาสนิมเขรอะหลายๆ ท่านที่อยากจะลงมือให้สะใจ


_____บทสรุปของหนังผมอยากจะย้ำว่า “นางฟ้ามีจริง” นางฟ้าอาจจะไม่ได้แสดงตนอย่างคนที่ประดับประดาสิ่งต่างๆ รอบตัวจนสวยงามสมบูรณ์แบบ แต่อาจจะมาในรูปคนขี้ยาไม่สมประกอบ มานั่ง มานอนคุยเปิดสมองให้คนเราได้ทบทวนชีวิตจนกว่าจะได้สติขึ้นมา อย่างที่เคยเห็นพระเจ้าในคราบขอทานใน บรู๊ซ ออลไมตี้มาแล้ว

คินดะอิจิ หน้ากากร้อยศพ "Murder of Inugami Clan"


_____อาจจะเป็นเพราะติดใจการ์ตูนมาก่อนทำให้ทันทีที่ได้ยินชื่อว่าจะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ผมตั้งหน้าตั้งรอคอยจนกระทั่งได้ดูสมใจ และคงเป็นเพราะดูแต่เวอร์ชั่นการ์ตูนมากไปจึงไม่คุ้นกับ ดินดะอิจิ โคสุเกะ ผู้เป็นปู่ของคินดะอิจิ เวอร์ชั่นการ์ตูน แต่ก็รู้สึกดีเหมือนได้อ่านนิยายซึ่งเป็นภาคของคุณปู่คินดะอิจิ อันเป็นตำนานหนังสือแนวสืบสวนสอบสวนคลี่คลายปริศนาอย่างเดียวกับเชอร์ล๊อคโฮมส์ ซึ่งไม่ค่อยมีให้ดูบ่อยนักในสมัยนี้


_____ตามสไตล์ของหนังญี่ปุ่นแล้วเนื้อเรื่องมักจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้าเยือกเย็นแต่แฝงด้วยพลังในตัว แล้วหนังญี่ปุ่นสมัยนี้กลับดำเนินเรื่องได้เร็วขึ้น ภาพก็มีสีสันขึ้นอย่างใน คินดะอิจิ หน้ากากร้อยศพ ก็ดำเนินเรื่องได้ชวนติดตามไม่ชวนหาวนอนอย่างที่คิด แถมยังตื่นเต้นดีขึ้นอีก นับว่าหนังค่อยข้างหนีสไตล์หนังญี่ปุ่นไปพอสมควร เนื้อเรื่องก็ค่อนข้างกระชับไม่ยืดเยื้อแม้ผมเองก็มักเคยชินกับหนังทุกแนวทุกประเทศพอดูหนังเรื่องนี้กลับรุ้สึกเหมือนเสียบรรยากาศไปนิด ยิ่งโดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์ที่เป็นการคลี่คลายปริศนา ฆาตกรกลับฆ่าตัวตายหนีความอดสูไปได้ง่าย โดยที่คุณปู่คินดะอิจิเองก็ยังตามไม่ทัน ทำให้ต้องบ่นว่าการคลี่คลายคดีนี้ทำให้มีคนตายมากเกินไป(จริงๆ ) แต่ก็นั่นแหล่ะ ในเวอร์ชั่นการ์ตูนเอง หลานคินดะอิจิ เองก็มักจะคลี่คลายคดีสำเร็จก็ต่อเมื่อมีคนตายไปจนเหลือแค่คนสุดท้ายเสมอ ถือว่าวลีของคินดะอิจิที่ว่า “คินดะอิจิคนนี้...ขอเอาชื่อปู่เป็นเดิมพัน” นั้นช่างคงเส้นคงวาจริงๆ


วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

คนระห่ำปืนเดือด “Shooter”


_____ถือเป็นหนังแนวฮีโร่แอคชั่นอีกเรื่องหนึง ที่มี มาร์ก วอห์ลเบิร์ก แสดงบทนักแม่นปืนผู้ไม่ธรรมดา หนังแนวนี้จัดเป็นแนว “ฟูจิทีฟ” หมายถึง ผู้เอาตัวรอด หนี ลี้ภัย ตามปกติผมเห็นมาร์ก วอห์ลเบิร์ก ลุยเดี่ยวแล้วไม่ค่อยประสบความสำเร็จ มาร์ก วอห์ลเบิร์ก เป็นนักแสดงที่เลือกรับแสดงในบทที่หลากหลายในแต่ละปี ไม่เว้นแม้บทดราม่า อย่าง อินวิซิเบิ้ล และ เพอร์เฟ็คสตรอม แต่สองปีนี้เริ่มเข้าเค้าที่จะใกล้สู่จุดสูงสุดของเขา หลังจากที่ร่วมงานกับ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาล ซึ่งเป็นหนังลุยเดี่ยว ก็จะไปถึงบทแอ็คชั่นสุดๆ “แม็กซ์ เพน” หนังจากเกมส์ดัง เขายังมีหนังรออีกเรื่องซึ่งเป็นภาคต่อจาก “อิตาเลี่ยนจ๊อบ” ล้วนเป็นหนังแนวที่จะทำเงินทั้งสิ้น

_____“ชู๊ตเตอร์” สำหรับผมแล้วคิดว่าเป็นหนังไม่ธรรมดา เราไม่ค่อยได้เห็นดาราใหญ่อย่าง แดนนี่ โกลเวอร์ แสดงเท่าไรยิ่งแสดงเป็นผู้ร้ายแล้วด้วยถือว่าตอกย้ำความไม่ธรรมดา ข่าวการก่อการร้าย อาชญากรรม มีอยู่ทั่วโลกถือเป็นฝันร้ายประจำวัน คนที่มีอาชีพใช้ปืนเพื่อหยุดเรื่องร้ายๆ ต่างๆ เป็นแนวที่เราจะเห็นได้บ่อยๆ จากหนังคาวบอยตะวันตก ซึ่ง ชู๊ตเตอร์ ก็ไปทางเดียวกันเพียงแต่กันแค่ยุคสมัย ที่ได้เพิ่มเติมเข้าไปก็คือความเขาใจเรื่องของการเมืองมักจะมาเกี่ยวของจนเป็นหลัก สิ่งที่ทำให้หนังน่าสนใจตามยุคอีกอย่างคือ คอเกมคอมพิวเตอร์ ที่เห็นชื่อเรื่องก็รู้ทันทีว่าเป็นแนว ชู๊ตติ้ง ยิงแบบสไนเปอร์ ภาพความรุนแรงแอบแฝงเล็กๆ จะฝังอยู่ในสมองของเด็กๆ ลูกหลานอย่างไม่ตั้งใจ ความจริงหนังแนวนี้น่าจะเป็นแนวของผู้ใหญ่แต่ก็กลับมีเด็กและวัยรุ่นจำนวนมากให้ความสนใจที่จะดูแล้วเชิดชูความสามารถระดับของ บ็อบ ลี สแว็กเกอร์ หรือไม่ก็ จอห์นบักเก็ต (อีกเรื่อง สไนเปอร์ นักฆ่าเลือดเย็น) แล้วก็คงไม่ต้องพูดถึง “ฮิตแมน” หนังสร้างจากเกมอีกเรื่อง ที่มีภาพโหดรุนแรงมันกว่าเสียอีก

_____เราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยหากดูหนังเรื่องนี้จบแล้วพอใจในความสนุกแค่นั้นโดยไม่ได้คิดเลยว่า หนังหลายๆ เรื่องสื่ออะไรกันนักกันหนาที่จะให้นักการเมืองตัวดีมาเป็นตัวชั่วร้ายชอบวางแผนเสมอๆ คิดเอาเอง

อภิมหาสงครามล้างโลก “War of the Worlds”


_____ใครไม่เคยดูเวอร์ชั่นเก่าก่อนก็คงจะผิดหวังตามๆ กันครับในเวอร์ชั่นเก่านี่มีมาแต่สมัยหนังขาวดำ แล้วก็รีเมกใหม่ตอนเป็นสี และตัวหนังเองก็เป็นหนังประเภทคอหนังฮอลลีวูดคุ้นเคยกันดีดูกันบ่อยๆ มุมมองก็เลยเป็นแบบสงครามเพราะมีฉากต่อสู้กันระหว่างทหารเป็นสำคัญมาฉบับนี้เป็นมุมมองใหม่ จะติจะชมก็ต้องโยนไปที่ทอม ครุ้ยส์ครับ พี่ท่านเล่นซื้อลิขสิทธ์หนังเก่าแล้วเอามาสร้างใหม่จ้างผู้กำกับดัง (ทำไปแล้วอย่าง มิชชั่นอิพอสซิเบิ้ลทุกภาค) มากำกับแล้วก็เอาชื่อเป็นจุดขาย มุมมองที่ว่านี้ค่อนข้างส่วนตัวครับ เข้ากันกับยุคสมัยของสังคม ปัญหาถูกมองย่อยลึกมาถึงสถาบันที่ใกล้ตัวคนเราที่สุด “ครอบครัว” ทอม ครุ้ยส์เองก็แอบแก้แค้นเล็กๆ ระดับแฟนพันธุ์แท้จะเห็นในหนังทันทีอย่างเช่น



  1. สมัยเล่นเรนแมน พี่ท่านบ่นว่าโดนพ่อเรียกตำรวจจับเมื่อแอบเอารถคันโปรดไปขับเล่น มาคราวนี้ก็เก็บมุขเดิมไปขู่ลูกชายไม่ให้แอบเอามัสแตงไปขับ

  2. พี่ทอมมีปัญหากับเจ๊นิโคล เรื่องไม่มีเวลาเอาใจใส่ลูกบุญธรรมและก็เป็นทั้งพ่อและแม่ที่ไม่ได้ความ แต่พี่ทอมก็แสดงตัวตนออกในหนังอย่างชัดเจนว่า "ถึงผมจะ(เป็นคน)ไม่ได้ความแค่ไหน แต่ผมก็ไม่มีวันทิ้งลูกไปไหนเด็ดขาด"

  3. สมัยพี่ท่านเล่นหนังซีเรียสอย่าง บอร์น ออนเดอะโฟธ ออฟจูลาย ก็อยากเป็นทหารรับใช้ชาติไม่กลัวตาย แบบเดียวกับ ทิม รอบบิ้น ในหนัง หัวอกพี่ท่านได้แสดงออกว่า แหลกสลายขนาดไหนที่ต้องปล่อยให้ลูกชายไปเผชิญกับตัวประหลาดต่างดาวลำพัง ความในใจแบบนี้ไม่มีให้เห็นในหนังของ โอลิเวอร์ สโตน

_____ยังมีอีกเยอะครับ อีกอย่างที่การันตีว่าเป็นฝีมือของ ลุงสปีลเบอร์กก็คือ มุมกล้องที่ใช้ปั้นจั่นถ่ายหมุนมุมได้อิสระแล้วตัดต่อได้แนบเนียนเยี่ยมยอด แล้วการเปิดฉากสงครามได้น่ากลัวพอๆ กับสมัยเอาลูกกระสุนมาปลิวว่อนใน ไรอัน ของสปีลเบอร์ก สร้างภาพแง่ร้ายความโหดของสงคราม ความดุร้ายของไดโนเสาร์ และการรุกรานไร้สัญญาณบอกของเอเลี่ยน ทำได้งดงามมากครับ

_____คนดูคงจะเทียบกับ ไอดีโฟร์ ก็พอได้ครับ ผมว่า ไอดีโฟร์ กลายเป็นหนังเลียนแบบที่เหมาะสำหรับคนต่างประเทศ อย่างเราๆ ครับ ที่ใส่ฉากแอคชั่นสุดมันส์ได้อย่างกลมกลืน แทบจะเป็น วอร์ ออฟเดอะเวิลด์ ในสมัยใหม่ ทอม ครุ้ยส์ ถึงได้เปลี่ยนมุมมองมาเป็นแบบใกล้ตัวกว่า ซึ่งสำหรับผมแล้วก็ไม่ค่อยอิ่มกับเนื้อเรื่องเหมือนกัน แต่พี่ท่านก็พยายามเอาโครงหลักของหนังเดิมมาใส่ให้ครบถ้วนได้อย่างกลมกล่อม แต่ในเมื่อมีฝีมือขนาดนี้ก็น่าจะผิดหวังที่ปล่อยฝีมือไปได้ไม่ถึงครึ่งของที่ควรจะเป็น

_____สุดท้ายครับ เสียงพากย์ น่าเบื่อมากไม่ขลังพอที่จะเป็นพ่อคน โทนเสียงให้แต่น้ำเสียงเบาหวิวครับ เสียงหนูดาโกต้า กรี๊ดกร๊าดแสบหูครับ น่าจะไปพากย์ได้ตั้งแต่ อัพทาวเกิร์ลเนอะ หนูดาโกต้านี่โชคดียิ่งกว่าใครๆ ที่ได้ประกบแต่ดาราใหญ่ดังๆ ทั้งนั้น ผมไม่แน่ใจว่า ดาราใหญ่อยากประกบหนูน้อยมากกว่า หรือดาโกต้าอยากประกบกันแน่ครับ

แผนสังหารตำนานจอมโจร เจสซี่ เจมส์ "Assassination of Jesse James"


_____คนไทยคงคุ้นกับชื่อขุนโจรอย่าง “เสือใบ” แต่สำหรับชาวอเมริกัน ต้องชื่อ “บิลลี่เดอะคิด” และ “เจสซี่ เจมส์” ตำนานขุนโจรแห่งตะวันตกในยุคคาวบอย ซึ่งถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แอคชั่นหลายสิบเวอร์ชั่น แต่สำหรับเวอร์ชั่นนี้คงเป็นไปได้ว่าปิดฉากตำนานอย่างสวยงามที่สุด เราคงไม่เคยเห็นหนังคาวบอยเรื่องไหนถ่ายทอดความเป็นดราม่ามากมายเท่าหนังยุคนี้ ดราม่าถ่ายทอดแง่มุมชีวิตในส่วนของเรื่องราวที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด และเป็นแง่มุมในด้านลบที่สุด แม้ในหนังเองพยายามจะใส่ฉากยิงกันก็ได้เพียงไม่กี่ฉาก เพื่อเอาใจคอหนังคาวบอยเก่าซึ่งป่านนี้คงจะแก่พอๆ กับ สมบัติ เมทะนี ก็เป็นฉากเพียงน้อยนิดที่ไม่โอเวอร์แต่กลับสร้างอารมณ์ตื่นเต้นระทึกสมจริงและหุดหู่มากกว่าจะสนุกและมันส์

_____หนังคาวบอยยุคใหม่ น่าจะเปิดตัวตั้งแต่หนังของปู่คลิ้นท์อีสต์วู้ด “ไถ่บาปด้วยบุญปืน” ที่ให้แง่มุมการต่อสู้ในยุคคาวบอยเป็นเพียงเรื่องป่าเถื่อนโหดเหี้ยมไร้เหตุผลที่ดี แทบไม่มีวีรบุรุษตัวจริงที่จะพกปืนหราไล่ยิ่งคนแบบนั้น ยกเว้นหนังชั้นดีเรื่อง “ไวร์แอ๊ดเอิร์ป นายอำเภอใจเพชร” ที่มีฉากยิงบู๊สะใจมากมายค่อนข้างสมเหตุผลและมีความเป็นดราม่าอย่างสมบูรณ์ที่สุด สำหรับ เจสซี่เจมส์ของ โรเบิร์ดเร้ดฟอร์ด เองก็พยายามใส่ดราม่าเข้าไปเต็มๆ เน้นเรื่องราวหลังจากที่ เจสซี่ แยกกับแฟร็งค์ พี่ชายร่วมสายเลือด แล้วถูกคนใกล้ชิดอย่าง พี่น้องฟอร์ดสังหารเจสซี่อย่างขี้ขลาด จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามก็ไม่เคยปรากฏภาพตอนต่อจากนี้ในแผ่นฟิล์มมาก่อนว่าเราจะได้ทำความรู้จักกับคนที่ได้ชื่อว่า จะไม่ใครตั้งชื่อลูกว่า โรเบิร์ต ฟอร์ด อีกต่อไป แต่ก็หลุดมาเป็น โรเบิร์ดที่ต้องเน้นชื่อกลางว่า เร้ด ก่อนคำว่า ฟอร์ด อันนี้ผมคิดเล่นๆ นะ สำหรับดาราหนุ่มนักแสดงที่สร้างชื่อกับหนังคาวบอยหลายเรื่องและหนังดราม่ามากมายจนมาเป็นผู้กำกับฝีมือดี กับดาราคู่บุญอย่าง แบรดพิตต์ เป็นการดีที่เขาเลือกแบรดพิตต์มาแสดง เพราะดุเขาเหมาะกับบทนี้มาก ชายอารมณ์ร้อนที่มากเสน่ห์เป็นวีรบุรุษขวัญใจคนอเมริกันไปทั่ว เขามีความเป็นสุภาพบุรุษที่น่านับถือและแฝงความป่าเถื่อนอย่างเอาจริงเอาจังได้ถึงวิญญาณ เพียงแต่น่าเสียดายที่ เจสซี่จะไม่หันหน้าให้คนดูในขณะที่เขาถูกยิง ปริศนาทางความคิดยังคงเป็นปริศนาต่อไป เราไม่อาจเข้าใจว่า เหตุใดในเมื่อเจสซี่เองรู้ว่าคนใกล้ชิดกำลังหักหลังเขา แล้วเขายังหันหลังให้พี่น้องฟอร์ดได้ปลิดชีวิตของเขา หรือเขาจงใจจะจบชีวิต? หรือเขาคิดว่าพี่น้องฟอร์ดจะไม่กล้าทำ ? คำถามนี้คงจะต้องหาคำตอบด้วยการกลับไปดูซ้ำใหม่อีกรอบ ก็ในเมื่อเป็นเวอร์ชั่นจบแล้วนี่จะเฉลยง่ายไร้ชั้นเชิงได้อย่างไรกัน

_____หนังเรื่องนี้ไม่ได้ฉายผิดยุคเพียงแต่โปรดักชั่นเองก็ไม่ได้เน้นจะให้หนังทำเงินมากมายแต่อย่างใด เพียงแต่จะให้แบรดพิตต์ร่วมงานกับ เร้ดฟอร์ด อีกครั้งในขณะที่พิตต์เองกำลังดังสุดขีดของยุคนี้ ชิงความเป็นตำนานวีรบุรุษชาวอเมริกันไว้ก่อนจะถูกใครแย่งไป หนังเองอาจถูกปู้ยี่ปู้ยำด้วยฝีมือผู้กำกับหนังเฟรนด์ไฃน์ชอบนำหนังเก่ามารีเมกแบบภาควิบัติ หนังเริ่มต้นด้วยการปล้นรถไฟครั้งท้ายสุดของพี่น้องเจมส์ ที่ให้เราเห็นภาพเสือโจรดูไร้ความปราณีป่าเถื่อนพอที่จะไม่น่าจะไปเอาอย่างหรือเก็บไว้ยกย่องบูชา ดำเนินเรื่องอย่างน่าหวาดระแวงซึ่งกันและกัน และก็จบลงด้วยเรื่องราวของบ๊อบฟอร์ด ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้ขลาดที่สุดในสหรัฐอเมริกา แม้เขาจะแสดงละครการสังหารเจสซี่เจมส์มากกว่าแปดร้อยครั้งแต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจแต่อย่างใด ผมเองก็ได้แต่จินตนาการภาพของเจสซี่นอนแช่แข็งให้คนนับร้อยดูไม่ออกจนกระทั่งวันนี้ บ๊อบเองก็กลับจบชีวิตโดยที่ไม่มีโอกาสได้พูดความในใจอะไรต่อสาธารณะชนว่าสิ่งที่เขาทำนั้น ว่าเขาเองได้เสียใจกับการกระทำของเขาหรือเปล่า? มีเพียงปืนลูกซองแฝดจ้องหน้าเขา เป็นสิ่งสุดที่เกิดขึ้นและแล้วก็ไม่มีคำอธิบายอะไรอีกต่อไป นั้นทำให้ผมซาบซึ้งกับฉากจบจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่