วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ดรีมทีม "Dream Team"

______วันก่อนได้ดูข่าว กีฬาอนุบาลกรุงเทพ ก็ทำให้นึกถึงหนัง “ดรีมทีม” ที่ดูมาพักนึงแล้ว ยอมรับว่าเป็นหนังที่ใช้ได้ ช่วงปิดภาคเรียนใหญ่หรือปิดซัมเมอร์เดียวกันก็จะมีหนังแนวเด็ก ๆ ทยอยออกมาเยอะ ดูเหมือนหนังจะถูกเตรียมไว้ฉายช่วงนี้โดยเฉพาะก็เลยดูเป็นหนังกระป๋องที่ผลิตจากโรงงานโดยมีรายการสั่งเฉพาะ แต่ก็สนุกดี ผู้กำกับ เรียว กิตติกร มีผลงานสนุก ๆ มาแล้วเร็ว ๆ นี้อย่าง “เมลล์นรกหมวยยกล้อ” ที่กำกับซูโม่กิ๊กให้อยู่ในอารมณ์เครียดได้อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแถมยังได้เป็นดารานำได้ถึงสองเรื่อง ส่วนที่ต้องชมก็คือ โครงการจับปูใส่กระด้ง การกำกับเด็กนั้นยากและผมก็ยอมรับว่าบทสนทนาระหว่างเด็กกับเด็กรวมถึงเด็กกับผุ้ใหญ่นั้นดึงความคิดของเด็กออกมาได้ถูกจังหวะดีทั้งน่ารักไร้เดียงสาแถมประชดประชันนิด ๆ หนังให้ข้อคิดที่ดีเกี่ยวกับการเอาชนะ จากเดิมที่เอาชนะไม่ได้แม้แต่ผู้หญิงด้วยความตั้งใจทำให้พวกเด็ก ๆ เดินก้าวไปสู่รางวัลชนะเลิศได้สำเร็จแม้จะทุลักทุเลประสาเด็ก ก็ตาม อีกประเด็นที่ผมนำมาคิดก็คือ หนังอาจจะดูสนุกแล้วผ่านไป โรงเรียนที่ไม่เคยส่งเสริมให้เด็กไปแข่งกีฬาอะไรเลยหลังจากได้ชัยชนะระดับล้มแชมป์แล้วพวกครูจะทำกันอย่างไร ผู้ปกครองในหนังเองก็น่ายกย่องที่ให้กำลังใจลูกหลานและส่งเสริมให้รู้จักเล่นกีฬาอย่างดี จนผมลุ้นแทบแย่ที่จะให้หนุน้อย “หัวแก้ว” ได้ลงแข่ง เพราะการที่ได้ลงเล่นกีฬาจริง ๆ แม้จะแพ้กลับมาก็ถือว่ายังได้รับความภูมิใจ ยิ่งได้รับชัยชนะกลับมาหัวใจแทบจะบินได้ คนที่ดูหนังแล้วควรจะกลับไปคิดว่า นอกจากจะปล่อยให้ลูกหลานนั่งเล่นคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวแล้วไม่มากวนใจพ่อแม่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ควรปล่อยให้เด็ก ๆ ออกกำลังกายบ้างถ้าให้ดี โรงเรียนที่ไม่เคยส่งเสริมเลยก็รีบจัดการซะ พ่อแม่ผู้ปกครองก็ให้เวลากับเด็กบ้าง แล้วอย่าเห่อเป็นพัก ๆ ล่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แรมโบ้ 4 นักรบพันธุ์เดือด "Rambo 4"


______หนังเรื่องนี้ดูมาซักพักหนึ่งแล้ว เริ่มมาคิดมากอีกเพราะเท่าที่รู้สึก ซิลเวสเตอร์สตอลโลน (สตาโลเน่) กำลังจะบอกว่า จอห์นแรมโบ้ จบมหากาพย์ลงแล้วเพราะเขาเดินทางกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว เป็นการจบที่มีความพยายามสูงมาก สตอลโลนไม่ได้มีกล้ามล่ำบึ๊กเหมือนก่อน ต้องใช้สารสเตอรอย และสั่งซื้อไว้จำนวนมากจนถุกจับได้ขณะเดินทางไกลข้ามทวีป เป็นที่ขายหน้ามาก เพราะไม่แค่บทจอห์นแรมโบ้ เขายังปิดฉากมหากาพย์ ร๊อกกี้บาบลัว โดยขึ้นชกมวยในช่วงสูงวัยกับคนรุ่นหนุ่ม เป็นการปิดฉากภายนต์ที่มีภาคต่อหลาย ๆ ภาคอย่างเป็นทางการทั้งสองเรื่อง ที่ต้องโชว์กล้ามเป็นมัด ๆ หนังเรื่องแรมโบ้นั้นบอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่หนังสงครามเพียงแต่มีฉากที่เหมือนทำสงครามไม่จัดอยู่ในประเภทสงคราม มาดูกันที่แรมโบ้ ซึ่งเขาใช้ชีวิตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทยติดชายแดนพม่า หนังแรมโบ้บ่งบอกถึงสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นการกดขี่ข่มเหงโดยใช้สงครามเป็นสิ่งที่เขาทนดูไม่ได้ มีภาพเหตุการณ์สำคัญในหนังคือ ภาพพระสงฆ์พม่าถูกกระทำทารุณถึงตายในเหตุจลาจล ที่เกือบเป็นจุดขายของหนังแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะมันแค่เกือบ แล้วหนังที่มีฉากสงครามก็มีการพัฒนาไปมาก แรมโบ้จะออกมาโอเวอร์แอคชั่นเหมือนในภาค 3 ที่ตะวันออกกลางซึ่งมีอาวุธร้ายแรงมากมายถือเป็นหนังแรมโบ้ที่มีฉากรบอย่างเป็นทางการแค่เรื่องเดียว ส่วนภาคสี่ถือว่าเป็นฉากรบแบบกองโจรที่แรมโบ้ยังใช้อาวุธหนักถึงหนักมากในการถล่มผู้ร้ายเพียงแต่เที่ยวนี้อาวุธหนักเกินกว่าจะแบกไว้ด้วยมือเปล่า ทำให้หนังเรื่องอื่น ๆ ที่มักจะล้อเลียนหนังแรมโบ้เสมอว่า อยากได้ปืนของแรมโบ้ภาคไหน ก็มีให้เลือกทั้งสามภาค ยกเว้นไว้เลยสำหรับภาคสี่ แค่แรมโบ้ยังง้างธนูคู่ใจยิงผู้ร้ายให้เห็นก็ถือว่าเป็นหนังแรมโบ้ชัวร์ แล้วละครับ

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วังวนหัวใจรัก "Summer Palace"


______เป็นหนังหมิ่นเหม่อีกเรื่องหนึ่งของปี ผู้กำกับชาวจีน โหลวเหย่ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักที่ไม่ซับซ้อนของสาวจีนคนหนึ่งที่ไม่ชัดเจนในเรื่องของความเข้าใจในชีวิต มันเหมือนกับยุคสมัยหนึ่งของอเมริกาช่วงที่มีการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและให้หยุดทำสงครามเวียดนามหรือที่เรียกว่ายุคฮิปปี้ ความรักในโลกของบุปผาชนเหล่านี้ไม่ค่อยจะมีความหมายเท่าไรแทบจะไม่ต้องมาพูดถึงกันเลยมีแค่อิสรเสรีในการดำรงอยู่และทำกิจกรรมเรียกร้องเสรีภาพทุกวันทุกวันใช้เงินสนับสนุนจากส่วนต่าง ๆ ที่อาจจะมาหลาย ๆ แหล่ง Summer Palace ก็เช่นเดียวกันเพียงแต่เปลี่ยนการถ่ายทอดเป็นยุคสมัยของการเรียกร้องระบอบการปกครองประชาธิปไตยในประแผ่นดินใหญ่ (จีน) ชีวิตความเป็นอยู่ของเหล่านักศึกษามหาลัยเป่ยจิง (ปักกิ่ง) ถูกนำมาถ่ายทอดประสบการณ์ของ โหลวเหย่ โดยยกตัวละครที่มีอยู่จริงแต่ไม่ได้ใช้ชื่อจริงในหนัง แม้เหล่านักศึกษาไม่ประสบความสำเร็จในการเรียกร้องแต่ก็ยังคงดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ จนเหมือนเป็นอาชีพหลักที่ต้องทำต่อในต่างประเทศลี้ภัยไปเรื่อยเพราะรัฐบาลจีนไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไร เพราะนอกจากจะไม่สำเร็จแล้วชีวิตที่ดิ้นรนดูเหมือนจะไร้จุดหมายสิ้นดี ในใจลึก ๆ โหลวเหย่คงต้องยอมรับสิ่งที่จีนประสบความสำเร็จด้านการปกครองในปัจจุบันที่ถือว่าต้องยกให้เป็นมหาอำนาจแห่งเอเชีย เนื้อหาการเรียกร้องประชาธิปไตย์ ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินไม่ใช่ส่วนสำคัญที่เป็นประเด็นหลัก ภาพเลิฟซีนในความมืดหม่นที่ค่อนข้างมีซีนยาวจนเกินความจำเป็นก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ประเด็นหลักควรจะเป็นเรื่องของความรักที่ไม่ใช่รัก เสรีภาพที่พวกเขาและเธอโหยหานั้นอยู่เหนือขนบธรรมเนียมประเพณี การเริ่มต้นสุ่ประชาธิปไตยด้วยวิธีผิด ๆ แบบนี้นำมาสู่ความล้มเหลวทั้งปวงแม้แต่ความรัก ไม่แน่ใจว่าภาพเลิฟซีนในความมืดกลายเป็นจุดขายเรียกร้องความสนใจในเทศกาลหนังเมืองคานส์หรือภาพความวุ่นวายในเหตุจราจลที่เทียนอันเหมินกันแน่ที่ทำให้ได้รับรางวัลเพราะฉากจราจลไม่ได้มีความรุนแรงหรือไม่ได้มองเห็นทหารของรัฐบาลจีนมากระทำการปราบจลาจลซักเท่าไร แต่ที่เขาบอกว่านักศึกษาไม่ได้มีอาวุธนั้นมันเรื่องจริงอยู่แล้ว การที่หนังถูกแบนจากประเทศจีนถึง 5 ปีนั้น ต้นฉบับที่ได้ดูภาษาไทยคงถูกตัดออกไปเยอะแล้วกระมังเมื่อดูหนังเรื่องนี้แล้วกรุณาจินตนาการภาพให้โอเวอร์เข้าไว้แล้วอย่าไปดูถูกฝีมือ โหลวเหย่ เชียวนะหนังที่เขาทำมันดีกว่านี้จริง ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

บั๊ก มหาภัยหลอนเฉียดนรก "BUG"


______ดูหนังเรื่องนี้แล้วเหมือนกับว่า โรคบ้า เป็นโรคติดต่อ ยังไงยังงั้นเลย หนังเรื่องนี้เข้าใจว่าไม่ได้ฉายในโรงหรือไม่ก็ฉายไม่นาน เป็นหนังอินดี้ทุนต่ำที่มีฉากแค่ในห้องเล็ก ๆ ตลอดเรื่อง เน้นบทสนทนาและบทบาทการแสดง โดยมี แอซลี่ยจัดด์ แสดงอย่างทุ่มสุดตัวและสุดจะเปลืองตัว ผู้กำกับ William Friedkin ผู้ซึ่งมีผลงานมากมาย อย่าง 12 Angry men ที่นำมาทำใหม่ฉบับฉายทีวี ที่มีฉากแค่ห้องตัดสินของคณะลูกขุนโต้คารมกันต้นเรื่องจนจบ และผลงานสยองขวัญอมตะนิรันด์กาล หมอผีเอ็กเซอร์ซิสต์ ถ่ายทอดจินตนาการความบ้าของชายคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองถูกกองทัพอเมริกาทดลองและเฝ้าติดตามจนกระทั่งหนีออกมาอยู่กับสาวสวยแอซลี่จัดด์ ก็พาเสน่ห์ความเป็นชายร่างบึกบึนคารมเป็นต่ออีกต่างหากแต่ก็แฝงความคิดบ้า ๆ ว่ามีเหลือบไรแมลงทดลองของรัฐบาลอเมริกาวางไข่ในฟันกรามเป็นล้าน ๆ คอยกัดแทะเขา ไม่รู้ว่าชายหนุ่มลึกลับพูดจริงหรือไม่ก็ตามแต่สาวสวยเจ้าของห้องพักที่เสนอให้ที่พักและนอนด้วยก็เชื่ออย่างปักใจและสงสารจนทำเรื่องบ้า ๆ ตามไปด้วย ความบ้าคลั่งทวีขึ้นถึงขนาดสังหารใครก็ตามที่เข้ามาเกี่ยวข้อง และเผาห้องฆ่าแมลงรวมไปถึงเผาตัวเองไปด้วย เป็นหนังที่ชวนให้จิตหลอนและคล้อยตามไปได้ตลอดเวลาที่ดูหนังแทนที่จะน่าเบื่อกลับตรึงให้ผมนั่งดูได้ตลอดเรื่องแม้จะดูในช่วงเวลาก่อนนอนก็ไม่ง่วงหาว จนกระทั่งดูจบ ภาพยังฝังค้างรวมทั้งความคิดบ้า ๆ ของดาราแสดงนำทั้งคู่ ยังหลอนผมเก็บไปฝันได้อีก นี่ถ้าไม่ใช่ว่ารู้ทัน โรคบ้าก็คงเป็นโรคติดต่อติดไปถึงคนดูหนังไปด้วยแล้วกระมัง ต้องระวังหนังแนวนี้ให้ดีนะครับเขาทำไว้ดีเกินคาด คงต้องขอบคุณที่โรงหนังไม่ได้ฉาย ไม่งั้นคงบ้ากันหมดเมือง นอกจาก ดิ เอ็กเซอร์ซิสต์ จะหลอกผมไว้หลายปีแล้วไม่พอ บั๊ก ก็ยังหลอกหลอนผมได้สำเร็จอยู่ มือไม่ตกจริง ๆ

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปิ๊งรักสาว ให้เสียวสันหลัง "My Scary Girl"


______หนังรัก ๆ ปนตลกร้ายแนว ๆ เดียวกับ Keeping mum ที่ดูแล้วไม่ถึงกับฮาแตกเพียงแต่ดูได้เรื่อย ๆ ช่วงอินโทรของหนังเป็นเสียงบ่นของตัวละครพระเอกพึมพำความน่าเบื่อของผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะสนใจเรื่องกรุ๊ปเลือดและเรื่องราคีซึ่งกำลังฮิตมากในกลุ่มวัยรุ่นญี่ปุ่นและเกาหลีที่จริงแล้วผมว่าสาวไทยทุกรุ่นก็สนใจไม่แพ้ชาติอื่นเหมือนกัน เนื้อหาในหนังคล้าย ๆ ละครมีคนแสดงนำไม่กี่คนส่วนใหญ่ดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนาสลับฉากแค่ห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่งแต่ก็ชวนให้ตรึงคนดูได้เรื่อย ๆ จนตลอดเรื่อง หนังเรื่องนี้จึงเหมาะสมมากอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะเก็บไว้เป็นแนวทางในการเขียนบทแบบดัดแปลงเพื่อแสดงละครสนุก ๆ ได้ซักเรื่องหนึ่ง แม้ความน่าดูของหนังไม่ค่อยจะมีเท่าไรแต่ก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงหนังฝรั่งเศสที่โด่งดังมากของ ลุคเบสซอง “Nikita” จนฮอลลีวู้ดซื้อทำเวอร์ชั่นใหม่ ไม่พอฮ่องกงก็ลอกเลียนไปทำหนังจนโด่งดังถึงสองภาค My Scary Girl ก็เหมือนภาพสะท้อนที่เป็นภาคต่อของนิกิต้าในแบบฉบับกระตุกเส้นเล็ก ๆ

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สเต็ปโดนใจ หัวใจโดนเธอ 2 “Step up 2 : The Streets”


______วลีก่อนจบของภาค 1 “เธอยังจำสเตปได้รึเปล่า?” มาถึงตอนนี้จะเก็บไว้ถามตอนภาคต่อก็ได้ครับเพราะมันยังประทับใจจนต้องชมต่อกันอีกภาค ที่หนังเรื่องนี้สนุกน่าสนใจและน่าสนับสนุนเพราะเราจะได้เห็นหนังปลอดสารพิษที่สุดเท่าที่มีอยู่เราจะไม่เห็นเครื่องดื่มมึนเมาบุหรี่ยาเสพติดในหนังเลย มีแต่วัยรุ่นที่เอาจริงเอาจังกับการฝึกร่างกายแข่งขันกันเต้นแสดงความแข็งแรงและมีไหวพริบหนังให้โอกาสแสดงความสามารถหลากหลายอย่างดุฉับไวมากกว่าภาคแรก ซึ่งถ้าไม่มีการพัฒนาให้พ้นจากแจ๊ซแดนซ์หนังก็จะดูเชยซะมากกว่า ส่วนเนื้อเพลงก็สะอาดกว่า “8Mile” แต่โน่นมันหนังแข่งกันคนละอย่าง หนังภาคแรกย้อนกลับไปดูแล้วเหมือนจืดสนิทยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่ต้องระวังก็คือคำวิพากของวัยรุ่นมะกันเอามาโต้เถียงกันถึงการเต้นแนวนี้เหตุใดหนังให้คนผิวขาวต้องเป็นฝ่ายชนะผิวสี ถ้ากลับกันพวกผิวสีเป็นตัวเอกหนังจะประสบความสำเร็จรึเปล่า ผมคิดว่าเป็นความตั้งใจของผู้สร้างหนังที่จะให้การขับเคี่ยวกันนอกจอดุดันขึ้นเพราะวัยรุ่นผิวดำมักทำตัวเป็นเจ้าของแนวการเต้นแบบนี้เสมอการแข่งขันนอกจอ สำหรับหนังขอตินิดนึงถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องมีฉากพระเอกโดนรุมตื๊บก็จะดีเพราะมันไม่ใช่ส่วนสำคัญในหนังซักนิดยิ่งมันจะสะอาดเกลี้ยงเกลาขึ้นเยอะเลย และยังต้องรอดูต่อว่า หนังคู่แข่งคนละวัยอย่าง “Hair Spray” ก็ยังทำภาคต่อตอกย้ำหนังทั้งร้องทั้งเต้น จะเป็นคู่แข่งสำคัญเลยทีเดียว

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วิบัติปืนสังหารโลก “American Gun”



______ชื่อหนังออกจาโอเวอร์ไม่เข้ากับเนื้อเรื่องซักนิด วิบัติที่เกิดขึ้นมันก็เป็น ดาบสองคม กับการที่ควรจะอาวุธปืนอยู่ในสังคมหรือไม่ ปัจจุบันไม่ว่าประเทศไหนก็มีผลงานที่เกิดจากปืนในด้านลบมากกว่าด้านดี เนื้อเรื่องภายในหนังแสดงออกทั้งในด้านดีและด้านลบของการมีอาวุธปืนในครอบครองแต่ก็ไม่ได้มีบทบาทมากไปกว่าการแสดงความรู้สึกนึกคิด เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ดำเนินไปกับผลพวงที่เกิดจากปืนผิดกฎหมายทั้งหมด ก็ยังดีที่หนังยังให้เครดิตกับปืนถูกกฏหมายอยู่ แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้หนังไม่ประความสำเร็จ ที่น่าจะใช่ผมว่าน่าจะเป็นการดำเนินเรื่องไปพร้อมกับเสียงตะคอกขัดแย้งแสดงอารมณ์โกรธหงุดหงิดชวนให้ซีเรียสโดยไม่จำเป็น ดูจบแล้วก็ไม่คิดว่าจะได้อะไรกลับมาซักเท่าไรค่อนข้างผิดหวัง ไหนๆ ก็ขึ้นหัวข้อชื่อเรื่องไว้แล้วผมก็ขอเอ่ยถึงหนังชื่อเดียวกัน American Gun (2002) ของ alan Jacobs อีกเรื่องซึ่งดำเนินเรื่องไปคนละแนว เกี่ยวกับพ่อสูงวัยต้องสูญเสียลูกสาวเพราะปืนกระบอกหนึ่ง ทำให้ต้องตามหาเจ้าของปืนไม่ว่าจะเจอความยุ่งยากลำบากหรือเดินทางไกลแค่ไหนก็จะหาให้เจอ เนื้อเรื่องแม้ไม่ตื่นเต้นแต่ก็ทำให้เราเดินตามตาแก่อย่างไม่น่าเบื่อจนกระทั่งช่วงท้ายของหนังไปจบตรงที่เจ้าของปืนคือแฟนหนุ่มของหลานสาวตามแก่ ตลอดทั้งเรื่องจุดประสงค์การตามหาเจ้าของปืนเพื่อตามหาหลานสาวที่พกปืนกระบอกนั้นมาทำให้คุณตาแก่เผลอลูกตามตัวเองนั่นก็คือแม่ของหลานสาวที่กำลังตามหาเพื่อไปร่วมงานศพและขออภัย โอวหักมุม..เนื้อเรื่องอินดี้สุดๆ มันน่าสนใจกว่าซะอีก

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Cinema Paradiso (1988)


______ภาพยนตร์สายพันธุ์อิตาเลียนชื่อดังที่หลาย ๆ คนดูแล้วไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไรว่า หนังมันมีดีตรงไหนกันแน่ คนเขาถึงยอมรับกันนักหนาว่าเป็นหนังดีขึ้นหิ้งเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวของเด็กน้อยที่มีชื่อว่า ซัลวาโตเร่ ดีวีต้า และชื่อเล่นว่าโตโต้ ในวัยเยาว์ของเขาเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่เขาได้ทำอาชีพฉายหนังในโรงหนังพาราดิโซ่ เพราะคนฉายชื่อ ลุงอัลเฟรโด้ ซึ่งเป็นเพื่อนต่างวัยของเขาประสบอุบัติเหตุจนตาบอดทั้งสองข้าง หนังที่ฉายได้จะต้องผ่านการเซ็นเซอร์จากบาทหลวงในโบสถ์ก่อนทุกเรื่อง ฉากที่ตัดออกไปคือ ฉากจูบ เลิฟซีน โป๊เปลือย รุนแรง ฆ่าฟัน เป็นที่ขัดใจของคนดูมาก เพียงแต่ทางเลือกของหนังมีแค่โรงฉายเดียวก็จำต้องทนดู หลายปีต่อมาโตโต้ในวัยหนุ่มตัดสินใจไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศและจะต้องกลับมางานศพลุงอัลเฟรโด้ ความเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองที่สงบสุขที่สุดนั้นเปลี่ยนเป็นความเจริญที่เจริญแต่กาลเวลาและวัตถุ ส่วนจิตใจคนนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อมถอยลง ก่อนตายโตโต้ในวัยหนุ่มได้รับสิ่งของที่ลุงอัลเฟรโด้สัญญาว่าจะมอบให้จากมือของภรรยาอัลเฟรโด้ จุดนี้แหล่ะที่ผมคิดว่าคือความหมายของหนังเรื่องนี้ อย่างที่เห็นในโปสเตอร์ภาพหนูน้อยโตโต้มองแผ่นฟิล์มแล้วยิ้มอย่างไร้เดียงสา นั้นตีความหมายคือภาพหนังที่ถูกตัดออกไปทุก ๆ เรื่อง อัลเฟรโด้เก็บไว้ให้เขาทุกเรื่องแล้วนำมาต่อกันเป็นม้วนใหญ่ เมื่อโตโต้ได้ดูในโรงหนังส่วนตัวของเขาก็ซาบซึ้งถึงคำสัญญาที่ชายแก่มีให้เขา ภาพหนังที่ถูกตัดออกไปก็เหมือนกับ ความเสื่อมโทรมที่แอบแฝงเข้ามาในรูปของความบันเทิง บาทหลวงเป็นผู้คิดดีไม่อยากให้ศีลธรรมจรรยาของคนธรรมดาถูกครอบงำด้วยภาพลามกต่าง ๆ แต่สมัยนี้ห้ามกันไม่ได้แล้ว หนังเรื่องไหนไม่มีเลิฟซีนเจ๋ง ๆ ไว้เป็นจุดขายก็อาจจะไม่มีคนดู มีแต่โรงหนัง พาราดิโซ่ ในอดีตเท่านั้นที่ใส่ใจคนดูอย่างแท้จริง คำพูดของอัลเฟรโด้ที่ให้โตโต้จากบ้านเกิดไปอย่าได้คิดถึงเพราะบ้านเมืองของเขาเหมือนต้องคำสาปไม่ให้เจริญรุ่งเรืองเป็นเหมือนทั้งข้อดีและข้อเสีย ส่วนภาพความสัมพันธ์ที่งดงามระหว่างคนสองวัยรวมทั้งเสียงเพลงซาวด์แทร็คก็เป็นเพียงสีสันที่ทำให้หนังน่าดูขึ้นจนหลงประเด็นแฝงในหนังจนเข้าใจว่าหนังมีดีแค่ภาพสวย ๆ เพลงเพราะ ๆ เท่านั้น ใครคิดแตกต่างจากผมยินดีรับฟังเต็มที่ครับ

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ตามล่า...นักฆ่าจักรราศี "ZODIAC"


______ไม่กี่วันผมเพิ่งได้ดูสารคดีจัดอันดับเรื่องสยองและสุดยอดคดีปิดไม่ลงของอเมริกา ก็เพิ่งรู้ว่าที่ยังคงเป็นอันดับหนึ่งมาหลายปียังคงเป็นคดีนักฆ่าจักราศี โซดิแอค (โซเดียค) ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าพลาดหนังเรื่องนี้ไปก็รีบหามาดู หลังจากค้นพบว่ามีหนังเรื่องนี้อย่างน้อยสามเวอร์ชั่นเป็นเกรดบีสองเวอร์ชั่นและเป็นเกรดเอเวอร์ชั่นล่าสุดที่นำแสดงโดย เจค กิลเลนฮอลหนุ่มคู่เกย์ของ ฮีธเลดเจอร์ ในหนัง Brokeback mountain เขามาในบทของ โรเบิร์ต เกรย์สมิท ผู้เขียนหนังสือ โซดิแอค หนังไม่ค่อยประสบความสำเร็จด้านรายได้เพราะเป็นสิ่งที่ยากมากกับการที่จะสร้างหนังเรื่องนี้ให้น่าดูและกระชับ ไม่น่าเชื่อฝีมือของ เดวิดฟินเชอร์ ผู้กำกับดังที่ฝากผลงานไว้เป็นหนังฆาตกรต่อเนื่องระดับครู “Seven” ที่มีความกระชับน่าติดตามลุ้นระทึกสยอดสยองหดหู่จบแบบเซอร์ไพร์ซคนดูสุด ๆ กลับทำหนัง โซดิแอค ได้จืดชืดยืดยาวแม้จะชวนติดตามแต่ความยาวของหนังมีความละเอียดในเนื้อหาการดำเนินเรื่องแต่ก็มีฉากซ้ำไปซ้ำมาพูดคุยปริศนาที่ไม่ค่อยลึกลับ และตามโครงเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและอิงความเป็นจริงอย่างที่สุดตามเหตุการณ์ของผู้เขียนหนังสือ ปักใจเชื่อว่า ฆาตกรคือ อาเธอร์ ลีจ์ อเลน คือฆาตกรตัวจริง แต่เขาก็ไม่ได้มีหลักฐานที่มีน้ำหนักมัดตัว ถือว่าเป็นดีท่าน่าสนใจที่สุด ซึ่งนักนิติเวชรุ่นใหม่ ๆ จะต้องหาคำตอบเรื่องนี้มาให้ได้จะได้ปิดคดีซักที ในความรู้สึกของผม ถือว่าเรื่องของ โซดิแอค เป็นต้นตำรับฆาตกรต่อเนื่องที่สมบูรณ์แบบที่สุดเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเรื่องนำมาสร้างหนังอีกหลาย ๆ เรื่อง ส่วนที่หนังผิดพลาดไปนั้นน่าจะเป็นความยาวสุด ๆ ของหนังที่ยาวถึงสองชั่วโมงครึ่งดูจบคดีก็ยังคาใจอยู่ ดาราที่แสดงก็ไม่ชวนดึงดูดคนดูแต่ละคนแสดงอารมณ์ได้ราบเรียบสีหน้าไม่แตกต่างกันเลยในแต่ละฉาก มีเพียงฉากใกล้จบที่ เจค กิลเลนฮอล จ้องตาของ อเลน ที่ผมคิดว่าเป็นฉากดีที่สุดในหนัง ส่วนฉากแอคชั่นมัน ๆ เหมือนใน เซเว่นก็ไม่มีให้เห็นซักนิด โธ่! เดวิดฟินเชอร์ทำได้แค่นี้เองเหรอ..รีบ ๆ แก้มือหน่อยละกานผมกำลังคอยดู

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แปดวัน แปลกคน "The 8th Day"


______ในที่สุดก็มีหนังเรื่องนี้ให้ดู สมกับเป็นหนังวิจารณ์จริง ๆ ยังไงก็ต้องขอบอกก่อนว่าถ้าความอดทนไม่ถึงหรือชอบดูหนังเพื่อความบันเทิงก็โปรดเดินข้ามหนังเรื่องนี้ไปได้เลย หนังไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เพียงแต่ไม่ได้สร้างเพื่อทำรายได้หรือฝากฝีมือให้คนจดจำ สำหรับผมก็ยังไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดเพราะขาดความสมบูรณ์แบบในการครองใจคนที่ใจกว้างจะดูหนังได้หลาย ๆ แนวไม่สำเร็จ อันดับแรกก็ต้องชมว่าเป็นหนังทุนต่ำที่ทำได้ดี ใช้คนแสดงน้อย โลเกชั่นไม่กี่ฉาก ดาราแสดงดีไม่ต้องห่วงเรื่องค่าตัว แต่การถ่ายทำฉากชวนขนลุกขนพองทำให้อินกับหนัง ภาพขาวดำเกือบตลอดเรื่องเสมือนหนึ่งเราเห็นความถูกผิดที่เกิดในหนังเราอาจจะพิพากษาตัวละครอยู่ตลอดเวลา ส่วนภาพสีเหมือนภาพที่ดูผ่อนคลายสำหรับ ป้าชุบ ราวกับป้าชุบเป็นคนไร้เดียงสามองโลกสวยงามตลอดเวลา ผิดกับเรา ๆ ที่เห็นแค่ถูกไม่ก็ผิด ลองสรุปเนื้อหาของหนังอย่างที่ผมเข้าใจก็คือ ป้าชุบแกรักษาอาการทางจิตจนหายไม่จำเป็นต้องกินยาอีกต่อไป แกไม่ต้องวิตกอะไรแม้แต่ใครจะมากลั่นแกล้งหรือรังเกียจแม้ธรรมชาติจะแกล้ง แมลงวันจะตกในแก้วน้ำแก็ไม่แยแสที่จะกลืนมันลงไปยอมรับชะตากรรมตราบที่มีลมหายใจอยู่ แต่นักศึกษาหนุ่มที่ได้โอกาสจะเฝ้าสังเกตพฤติกรรมความทรงจำบกพร่องของป้าชุบที่ชวนน้องแพรมาแล้วหลงลืมขังไว้ในบ้านจนเกิดอาการหลอนนึกถึงลูกสาวที่เสีย จนอาการจิตเพทของป้าชุบจู่ ๆ ก็เริ้มทรุดจนคลั่ง ตลอดแปดวันในหนังทำให้ผมรู้สึกอึดอัดทรมานพอ ๆ กับน้องแพร หนังมีจุดผิดพลาดมากมายตามประสามือใหม่แต่ก็ให้อภัยกันได้ เพราะน้องแพรไม่ได้แตะต้องน้ำซักหยดก็ยังมีชีวิตอยู่ดีจนหนังจบ ดูหนังจบแล้วผมกลับมานึกถึงหนังเรื่องหนึ่งคือ “คำพิพากษา” หรือ “ไอ้ฟัก” ที่ตอนจบไม่แตกต่างกันชวนให้อึดอัดและเจ็บใจเล็กๆ ที่สังคมจะมองด้านเดียวแล้วตัดสิน ที่น่าเจ็บใจกว่าผมก็คิดถึงเรื่องชายเสียสติที่ไปทุบ รูปท้าวมหาพรหม แล้วชาวบ้านรุมกระทืบจนตาย นั้นเป็นที่ผมสงสัยที่สุดว่าเกี่ยวกับแรงบันดาลใจที่นำมาสร้างหนังหรือเปล่า ก็อาจไม่เกี่ยวกันออกตัวไว้ก่อน

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เสี้ยววินาทีสังหาร "Vantage Point"


______เดี๋ยวนี้หนังเกี่ยวกับการสังหารบุคคลระดับชาติไม่ค่อยมีให้ดูเมื่อมันจะมีให้ดูแก้เซ็งซักเรื่องนึงก็ต้องไม่ธรรมดา เหตุการณ์ลำดับขั้นตอนการสังหารประธานาธิบดีปลอมไปสู่การวางระเบิดฝูงชนให้เกิดความวุ่นวายไปสู่การสังหาร พณ ท่านตัวจริง หนังมีช่วงเวลาการเริ่มต้นและจบในเสี้ยวชั่วโมงถือว่าเป็นการตามแก้ปัญหาอย่างสมศักดิ์ศรีความสามารถของเหล่าบอดี้การ์ดระดับสูง ชั้นเชิงการดำเนินเรื่องโดยการเปลี่ยนช่วงมุมของของแต่ละนาทีที่ผ่านไปของแต่ละตัวละครดูแปลกใหม่และคลื่คลายได้ดีกับหนังแนวนี้ แต่กลับทำให้หนังไปไม่ถึงหนังระดับคลาสสิคอย่าง “In the line of Fire” และ “The Day of Jackal” กลับมีคนที่ดูแล้วชวนคิดถึง “Memento” ซะมากกว่า อย่างไรก็ตามหนังก็ดูสนุกชวนติดตามกันหืดขึ้นคอแทบไม่ได้พักหายใจกันเลยตลอดชั่วโมง มันติดอยู่นิดถึงแค่ตอนท้ายที่ต้องมีการตะโกนถามกันว่า “ใครเขียนเนื้อเรื่องว๊ะ!” มันก็ตรงไคลแม็กซ์ที่ผู้ก่อการขับรถหลบเด็กด้วยสัญชาติญาณตกใจจนทำให้เสียยการใหญ่ ช่างเป็นบทสรุปที่ทำให้คนดูอึ้งและหัวร่องอตอนออกจากโรงหนังเป็นแถว ๆ

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ความฝันเธอเหนือศรัทธา “Transamerica”



______ช่วงราวยุค 50 -60 มักมีหนังที่เอาใจกลุ่มคนดูผุ้ชายเป็นกลุ่มเป้าหลายหลักเพราะผู้ชายเป็นผู้นำที่คิดจะเข้าโรงหนังก่อน ส่วนผู้หญิงก็จะเป็นผู้ตาม จนกระทั่งยุค 70 – 80 กลับเป็นยุคกลางที่ผู้หญิงจะเป็นผู้นำชวนผู้ชายให้พาเข้าโรงหนัง เมื่อสิทธิสตรีเริ่มสุกดีใคร ๆ ก็สามารถเข้าไปดูหนังเองได้ แต่ยังไม่รวมถึงเพศใหม่ เพศที่ 3 ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มักเปิดประเด็นแปลก ๆ เรียกร้องความสนใจให้ทุกเพศแต่ไม่ทุกวัยเข้าไปดูหนังที่อุตส่าห์สร้างขึ้นมา ดาราใหญ่น้อยยอมที่จะแสดงหนังแนวเกย์เพื่อลองตลาดและสร้างความแปลกใหม่ในวงการจนกระทั่งหนังประสบความสำเร็จซะส่วนใหญ่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเกย์ในยุคนี้ช่างเป็นยุคทองของเกย์จริง ๆ เข้าแล้ว Transamerica มีมุขเล็ก ๆ เกี่ยวกับมุมมอง “ลอร์ดออฟเดอะริง”มาเอาใจชาวเกย์ให้ขำเล่นอย่างน่าคิด เพราะผมเองก็ขำมุข “ดัมเบิ้ลดอร์”ที่เป็นเกย์ หรือว่าหนังสมัยนี้ควรจะสอดแทรกไปเพื่อสร้างประเด็นดึงดูดชาวเกย์ไว้ล่วงหน้า เนื้อหาในหนังเป็นการเดินทางเป็นการใช้ชีวิติร่วมกันและเปิดโลกให้กว้างขึ้น โกหกซึ่งกันและกัน การเดินทางไปอเมริกาเป็นอุปมาอุปมัยอย่างหนึ่งมีความหมายถึงเดินทางไปสู่ดินแดนแห่งอิสรภาพ หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวอย่างกลั่นกรองอย่างดีที่เนื้อเรื่องการถ่ายทำทุนสร้าง ราวกับกาแฟทรีอินวัน แค่เดิมน้ำร้อนใส่แก้วก็อร่อยทันที จะหาหนังที่เตรียมพร้อมขนาดนี้ได้ไม่ยาก ที่ผมคิดก็คือ รางวัลต่าง ๆ ที่ได้รับเหมือนลูกเกรงใจความแปลกใหม่ที่อาจดูลำเอียงไปหน่อย เอาไว้ลองดูเองจนจบ กระเทยไม่ใช่ตัวตลกแต่ยังน่าสงสารในหนังอีกต่างหาก การเปิดใจรับยังคงเป็นปริศนาที่ต่างคนต่างต้องคิดเอาเอง


ตำรวจเดือดล่าล้างเดน “Street Kings”


______นับตั้งแต่ได้ดู TRAINING DAY หรือ ตำรวจระห่ำ คดไม่เป็น ผมเฝ้ารอคอยผลงานใหม่อย่างใจจดใจจ่อก็ต้องทำใจเย็นรอดูทางจอแก้วเพราะเป็นโรงภาพยนตร์ในบ้านตามแบบถนัดของผม เป็นปลื้มมากที่ได้ดูหนังของ David Ayer เพราะบรรยากาศของ Street Kings ก็ไม่ได้ไกลไปจาก TRAINING DAY ซักเท่าไรแต่ก็ไม่รู้สึกจำเจซักนิดเพียงแต่หนังใหม่เพิ่มดีกรีความสนุกและเรื่องราวที่ใหญ่โตขึ้นกว่ามากจนผมกลัวว่าจะไม่มีมุขใหม่มาเขียนเรื่องอีก เทรนนิ่งเดย์ เป็นหนังตำรวจฝึกหัดถือว่ายังอ่อนประสบการณ์ แต่ สตรีทคิงส์ นั้นเป็นรุ่นพี่กำลังห้าว คาดว่าเรื่องต่อไปคงเป็นตำรวจรุ่นปู่กระมัง (พูดเล่น) หนังเน้นการใช้อิทธิพลมืดของตำรวจเพื่อทำเงินรายได้และเอาตัวรอด ภาพตำรวจที่เราเห็นในหนังไม่ใช่มีแต่ตำรวจเลวแต่ ทอม ลัดโลว์ (คีอานู รีฟ) เป็นตำรวจดีสันดานดุที่กำลังจมกับความโสมมทุกรูปแบบและไม่สนวิธีการใด ๆ ในการจัดการกับผู้ร้ายแถมยังเน้นการ “วิสามัญฆาตกรรม” เป็นหลัก ช่วงอินโทรของหนังผมมองภาพพระเอกเราเป็นจอมโทโส “แบรดพิตต์” อยุ่ตลอดจนมาถึงจุดเปลี่ยนแปลงของหนังผมก็เริ่มนึกภาพตามที่เห็นเป็น คีอานูรีฟ เขาเหมาะกับบทมาก ตำรวจขาลุยแบบแจ็คเทรวิสใน “Speed” หรือนายตำรวจยูท่าร์ “Point Break” บวกคาเร็คเตอร์ของฮีโร่ด้านมืดอย่าง “คอนสแตนติน” มันช่างลงตัว มันทำให้หนังขึ้นแท่นเป็นหนังเกรดเอ “Forest Whitaker” ก็เป็นดาราคนหนึ่งที่ไม่ค่อยแสดงหนังเป็นตัวโกง แต่ก็มีให้เห็นใน Last King of Scotland ในบทจอมโหด ฮีบี้อามิน แล้วบวกเรื่องนี้ไปอีกเรื่อง หนังไม่ได้จบแบบการคลี่คลายปริศนาคดีแต่หักมุมไปที่ผู้ร้ายที่ร้ายยิ่งกว่าโจรชั่ว วังวนของความชั่วมันอาจจะเริ่มจากอิทธิพลที่ควบคุมได้หรือผุ้ที่มีหน้าที่กำจัดอิทธิพลมืดแต่กลับมีอิทธิพลซะเอง แหม! ตำรวจชั่วก็มีแต่ตำรวจดีก็มีถม พูดไปกี่ยุคก็ได้แค่เอามาปลอบใจตัวเองมากกว่า ดูหนังจนจบเพิ่งนึกออก ถ้าหากดาราแสดงนำเปลี่ยนจาก คีอานูรีฟ เป็นบรู๊ซวิลลิส หนังก็จะไปเรื่อย ๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยกลายเป็นหนังจำเจจาก หนังดีของปีอาจจะพลิกฝ่ามือเป็นหนังธรรมดา ๆ เรื่องหนึ่งเลยก็ไม่แน่

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ส้มตำ


______เริ่มแรกผมก็สงสัยอยู่ว่า ทำไมไม่ใช่ผลงานของผู้กำกับร้อยล้านอย่าง ปรัชญา ปิ่นแก้ว ต้องได้ดูหนังก่อนถึงจะหายสงสัย “ส้มตำ” ก็แค่หนังดูเอามันธรรมดาที่บรรจุศิษย์เก่าของ พันนา ฤทธิไกร “เกิดมาลุย” ไม่ว่าตัวละครหลักหรือดารารับเชิญก็เติบโตมาจาก “เกิดมาลุย” แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปดังตาม ๆ กัน โดยเฉพาะน้องนุ้ย โมเดลลิ่งหน้าหมวยที่หลงไปเล่น ไฉไล ขายความเซ็กซี่จนดีกรีมือหนักเท้าหนักลดลงต้องมาเกาสนิมใน “ส้มตำ” ช่วงโปรโมทก็กลัวว่าหนังจะขายความดังไปที่ฝรั่งอย่าง นาธาน โจนส์ แต่เมื่อดูแล้วคิดว่าไม่ใช่ ตัวละครหลักคือน้องแคท ศษิสา จินดามณี ที่วาดลวดลายแม่ไม้มวยไทยและมีฝีมือการแสดงแบบดราม่าแถมมาด้วยจนไม่ดูเหมือนหุ่นยนต์สังหารแบบ จา พนม ยีรัมย์ หนังถ่ายทำและมีเนื้อเรื่องแบบหนังเกรดบีแต่โปรโมทสูงยิ่งกว่าหนังเกรดเอ และก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระเทพฯ พระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ประกอบในหนังเป็นเพลงเอก ถือว่ายิ่งกว่าหนังเกรดเอเรื่องอื่น ๆ ของไทยซะอีก ฉากต่อสู้ก็ดูเป็นการแสดงเอาท่าไม่ค่อยมีน้ำหนักเท้าและหมัดซักเท่าไร ส่วน นาธานก็ดูเป็นแค่ “ยักษ์ตัวแดงพลังช้างสาร” แบบตัวประกอบอดทนที่ได้มีโอกาสแสดงนำ แต่ก็แสดงได้ไม่เท่าไร แต่ก็มองภาพฝรั่งตัวโตที่ไหว้ได้น่ารักดี แม้มุขตลกในหนังไม่ค่อยมีแต่ก็ทำให้อมยิ้มได้เวลาเห็นนาธานยกมือไหว้หรือทำอะไรเปิ่น ๆ ทั้งเรื่องดู ๆ แล้วนอกจากยักษ์ตัวเขียวก็ทำให้นึกถึง “ป๊อปอาย” ที่ต้องกินผักโขมก่อนถึงจะมีพลัง หนังแบบนี้สร้างกี่เรื่องก็ทำเงินครับ มีมาอีกก็ควักกระเป๋ากันไปดูอีก ส่วนน้องเกรซฝีมือการแสดงไม่มีตกเลยครับ ราบเรียบไม่ดีขึ้นเลยเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ลูกเสี่ยใหญ่มีหวังต้องเก็บหน้าไว้แล้วโชว์แต่เสียงน่ารัก ๆ ในหนังการ์ตูนอย่างเดียวแน่

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ศรัทธาฝังเลือด “There Will Be Blood”


______เปิดฉากด้วยเสียงดนตรีชวนสยดสยองเพื่อบ่งบอกแนวทางของหนังว่าเราจะได้เห็นความน่ากลัวและความตึงเครียดตลอดเรื่อง ถ้าเราจะนึกภาพของคนที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงินและเพื่อธุรกิจตนเองไม่ออกก็ลองดูหนังเรื่องนี้จะได้เห็นภาพของคนหลายกลุ่มที่กำลังทำมัน แม้จะต้องทอดทิ้งลูกชายหรือฆ่าคนซักกี่คน ที่สำคัญแม้แต่คนที่กำลังเคร่งศาสนาก็หาผลประโยชน์ให้ตนเองได้ หนังดำเนินเรื่องด้วยตัวละครหลักที่นำแสดงโดย แดเนียล เดย์ ลูอิส เคยเห็นคาแร็กเตอร์น่ากลัวมาแล้วจากบทพ่อค้าเนื้อมือมีดมือปังตอใน “Gangs of new york” ในเรื่องนี้เขาใช้ชื่อ แดเนียลแป็นชื่อตนเองดีแสดง เขากล้าแสดงออกกล้าทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เขาทำยิ่งกว่าทำ จากคนงานเหมืองแร่จน ๆ คนหนึ่งโชคดีเจอทองแต่ต้องแลกกับการสูญเสียอวัยวะสำคัญจนไม่อาจมีลูกได้ เป็นภาพชัดเจนที่ว่าโชคดีต้องแลกด้วยโชคร้าย ธุรกิจกว้านซื้อที่ดินขุดเจาะน้ำมันก็ต้องแลกกับศักดิ์ศรี โกหกปลิ้นปล้อน แต่ไคลแม็กซ์จบเรากลับได้เห็นภาพคนที่มีความพยายามยิ่งกว่า แดเนียล หนังย้อนยุคไปสมัยที่เราเพิ่งจะต้องตื่นตัวกันในเรื่องของพลังงานที่เพิ่งค้นพบ ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจพลังงานย่อมมีอิทธิพลสูงส่ง แล้วยุคสมัยนี้เป็นยุคที่พลังงานน้ำมันกำลังแผ่วลงใกล้จะหมด ปัญหาอิทธิพลการต่อรองก็ยังมีไม่สิ้นสุด ก็ลองดูว่าพลังงานใหม่เหรือพลังงานทดแทนที่ทุกคนตั้งความหวังว่าจะเป็นพลังงานเพื่อโลก พลังงานสะอาด และหวังว่าพลังงานใหม่นี้คงจะไม่ต้องเปื้อนเลือดอีกต่อไป

มองโกล “Mongol”


______เจงกิสข่านทำออกมาหลาย ๆ เวอร์ชั่นมีให้ดูตลอดทุกยุคสมัยเพียงแต่เวอร์ชั่นใหม่ในชื่อ “มองโกล” จะบอกแง่มุมใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในเจงกิสข่านที่มักเป็นหนังมหากาพย์ฉากสงครามสุดอลังการ สำหรับยุคนี้เป็นยุคที่ต่อต้านสงครามฉากสงครามในหนังจึงไม่น่าประทับใจนัก หนังให้แง่มุมที่ค่อนข้างส่วนตัวระหว่างเตมูจินกับภรรยาที่หนังค่อนข้างให้เครดิตความยิ่งใหญ่ของมหาบุรุษมักต้องมีสตรีเป็นเบื้องหลังเสมอ ความลำบากยากเข็นการถูกจองจำถูกทารุณก็ไม่เคยมีให้เห็น แต่เรื่องหลัก ๆ ที่เรามักเห็นในหนังเจงกิสข่านเสมอคือ ลูกชายคนโตของเตมูจินอาจจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่เวอร์ชั่นมองโกลยิ่งไปกันใหญ่แม้แต่ลูกสาวซึ่งเป็นคนรองก็ไม่ใช่ลูกในสายเลือดดูเหมือนที่นักค้นคว้าหาข้อมูลมาสร้างหนังจะทำงานกันจนหนักไปหน่อยหนัง “มองโกล”เป็นหนังลูกผสมหลายชาติช่วยกันค้นคว้ามานำเสนอต่อคอหนังประวัติศาสตร์โดยแท้แต่กลับไม่ได้รับการต้อนรับอย่างจริงจังบางทีผู้สร้างคงจะหลงประเด็นการโปรโมททำให้คนดูไม่คุ้นกับชาติมองโกลที่เห็นแต่ภาพการทำสงคราม จะว่าไปชนกลุ่มน้อยสมัยโบราณฆ่าฟันกันเองไม่สามัคคีกันแย่งชิงทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ไม่เกิดการก่อสร้างวัฒนธรรมใด ๆ ที่เป็นวัตถูมีแต่วัฒนธรรมการเป็นอยู่อย่างชาวป่าเมื่อมีการรวมชาติหลังจากที่เตมูจินทำการรวมเผ่าสำเร็จสถานาเป็น เจงกีสข่าน ก็เริ่มก่อสร้างวัฒนธรรมประเพณีอันดีไว้มากมายซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่จะนำเสนอในหนังดังกล่าว ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจที่ในหนังเรื่องนี้คือ “ผู้หญิง” ที่เป็นแรงผลักดันผู้ชายไปสู่ความยิ่งใหญ่เสมอไม่ใช่แค่ เจงกิสข่าน ถ้าจำได้ “อเล็กซานเดอร์มหาราช” เองก็มีมารดาเป็นผู้ส่งเสริมผลักดันจนเป็น “The great” ทั้งที่เป็นกษัตริย์มหาราชยิ่งใหญ่ครอบอาณาจักรถึงครึ่งโลก เหมือนกันมั้ยครับท่านผู้ชม หนังกลับเจ๊งโบ๊งในตลาดโลกเหมือนกัน แต่ก็มีรางวัลรับประกันมาด้วยเชื่อว่ากลุ่มเป้าหลายหลักคงเป็นแผ่นใหญ่กับญี่ปุ่นเกาหลีที่ถนัดดูหนังดราม่ามากกว่าเมืองไทยที่ชอบดูหนังตลกคาเฟ่ขึ้นโรงซะอีก

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สี่แพร่ง “Phobia , 4bia”


_____วงการหนังไทยกำลังก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แปลกที่ผู้ที่คิดว่าตนเองเป็นผู้นำจะต้องชิงลงมือก่อน วงการหนังไทยกำลังตื่นตูมและสนใจหนังสั้นส่วนสำคัญคือแรงบันดาลใจและความถนัดของผู้กำกับหน้าใหม่ที่เริ่มศึกษามักมองหนังผีเป็นผลงานที่ชวนให้คนสนใจมากที่สุดยกตัวอย่างง่ายมากอย่าง “ผีสามบาท” ถือว่าประความสำเร็จได้ถึงระยาวเลยทีเดียวเมื่อมีสามแล้วก็ต้องตามด้วยสี่ “สี่แพร่ง” แม้ชื่อเรื่องจะไม่ได้บอกอะไรภายในตัวหนังเท่าไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสี่แพร่งสี่ตอนเป็นการกำกับหนังและสร้างด้วยต้นทุนที่ต่ำสุด ๆ การแข่งขันยุติธรรมดีผมขอเทคะแนนให้ตอนที่สาม “คนกลาง” เพราะใช้ต้นทุนต่ำสุดคนแสดงน้อยสุดอุปกรณ์น้อยสุดแถมมีเนื้อเรื่องหักมุมคาดไม่ถึงที่สุด “เหงาเหมือนจะใช้ทุนน้อยเพราะมีคนดำเนินเรื่องแค่คนเดียวแต่ก็ยังมีตัวประกอบอีกเป็นสิบไม่เปลืองบทพูดแต่ก็ใช้การสื่อสารไร้เสียงแทนผมไม่ถือว่าใช้ฝีมือซักเท่าไรและความน่ากลัวชวนสะดุ้งตกใจก็ถือว่ายกมาจากอินเตอร์เน็ตล้วน ๆ หลังจากตกใจแล้วทำให้ผมขำออกที่ภาพชวนตกใจพร้อมเสียงกรี๊ดลั่นเห็นได้บ่อย ๆ ในอินเตอร์เน็ตนึกไม่ถึงว่าจะเอามาใส่ในหนัง “เที่ยวบิน224” ถือเป็นศูนย์รวมความกลัวทุกรูปแบบที่ใช้การแสดงอารมณ์กลัวล้วน ๆ กลัวจนเป็นบ้าตายไปเลย สิ่งแปลกใหม่ของวงการหนังไทยที่ถ่ายทำภายในห้องโดยสารเครื่องบินซึ่งเรา ๆ ไม่ค่อยเห็นในหนังไทยส่วนตอนจบก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ “ยันต์สั่งตาย” น่าจะเอามาเป็นตอนจบมากกว่าเพราะแทบไม่เหลือความเกี่ยวโยงกับหนังสามตอนนั้นเลยนอกจากลูกตาเปื้อนเลือดจ้องขวาง ไคลแม็กซ์ในตอนจบน่าจะเป็นนภาพติดตาให้คนดูเก็บไปฝันร้ายมากกว่าจะไปปรับเปลี่ยนอารมณ์กับสองตอนที่เหลือ เห็นได้ชัดว่าสายป่านยังต้องใช้เวลาอีกหน่อยถึงจะเทียบชั้นรุ่นพี่อย่างพลอยได้ ทำให้คนดูอดดูตอนจบเจ๋ง ๆ ของตัวหนังแทนที่จะใส่ชั้นเชิงการเชื่อมโยงที่ของหนังสี่เรื่องให้น่าสนใจอย่าง “ผีสามบาท” ก็จะตำราที่ยังคงเก็บขึ้นหิ้งชั้นบนอยู่ไม่ต้องเก็บเข้ากรุอย่างที่คิด

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551

โคตรคน ตัดคมมาเฟีย “American Gangster”


_____สมัยนี้หาหนังมาเฟียดูยากครับ เมื่อมีให้ดูก็ต้องมาเขียนวิจารณ์กันหน่อย หนังสร้างจากเรื่องจริงของเจ้าพ่อผิวหมึกค้ายาเสพติดในยุค’70 ที่ชื่อว่า แฟรงค์ ลูกัส เป็นช่วงของการฉวยโอกาสจากสงครามเวียดนาม ติดต่อซื้อและขนส่งโดยทหาร GI และพวก CIA โดยแหล่งผลิดใหญ่จะเป็นสามเหลี่ยมทองคำ ทำให้หนังมีฉากที่ต้องถ่ายทำในเมืองไทยบ้างนั่นก็ทำให้หนังเข้าฉายเมืองไทยได้ช้าลงมากจนนึกว่าไม่ได้มาฉายบ้านเราซะแล้ว หนังดำเนินเรื่องได้ดีชวนติดตามเป็นเรื่องราวสลับไปมาระหว่างแดนเซลวอชิงตันกำลังรุ่งพุ่งแรงในธุรกิจแบบไม่มีเบรก และการตั้งทีม ปปส.พิเศษของรัสเซลโครว์ ในภาพพจน์ตำรวจมือสะอาดหมดจดแบบสุดๆ อย่างที่ไม่เคยปรากฏการมาก่อน จนกระทั่งทั้งสองได้มาประทะกันในตอนกลางของเรื่อง เพราะเรื่องยังมีอีกยาว เป็นหนังที่มีเนื้อเรื่องยาวมากกว่าสองชั่วโมงซึ่งก็ไม่ค่อยมีในสมัยนี้ซึ่งถ้ามีก็จะทำให้ตั๋วหนังแพงขึ้นเสียอีก ในช่วงท้ายของหนังไคลแม็กซ์ที่สำคัญและต้องการให้สื่อถึงมากที่สุดน่าจะเป็นการตีแผ่การคอรัปชั่นของพวกตำรวจ และผลพวงจากสงครามเวียดนามเต็มๆ อย่างที่ไม่เคยมีในผลงานของริดรี่ย์สก็อต แต่ก็น่าเสียดายที่เมื่อดูหนังจบสังคมก่อนหน้าที่คนผิวดำจะได้ครองย่านซอกซอยเหล่าหนี้มันช่างชัดเจนถึงความเสื่อมโทรมจนเหมือนภาพประวัติศาสตร์ว่า ทำไมตำรวจถึงชอบจับแต่คนดำ นั่นก็น่าจะต้องไปโทษ แฟรงค์ ลูกัส ถึงจะถูก และชื่อ ริชชี่ โรเบิร์ตส์ กลับไม่เป็นที่จดจำได้เลย มีเพียงแต่ตำรวจตงฉิน เซอร์ปิโก้ เท่านั้นที่เราจำได้

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

หัวใจเธอต้องกล้า “The brave one”


_____ตั้งแต่เห็นหน้าปกหนังผมก็รู้สึกถึงความน่าดูเพราะโจดี้ฟอสเตอร์ไม่ได้จับปืนในหนังบ่อยนัก แต่ถ้าเธอจับปืนเมื่อใดก็ได้ยิงคนแน่ๆ และชื่อโจดี้ฟอสเตอร์ก็มากับเสียงต่อต้านหลายๆ เรื่องเพราะหนังที่เธอเล่นมักยิงตรงไม่แยแสชาวบ้านหรือสังคม หนังมากับความรุนแรงของอาชญากรรมที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ชีวิตที่เราวางแผนไว้เป็นอย่างดีกลับพังทลายเพราะโจรกระจอกไม่กี่คนที่เล่นกันถึงตาย ชีวิตแบบนี้ยากจะอยากมีลมหายใจอยู่ต่อ เพียงแต่ถ้าอยากจะอยู่เพื่อทำบางอย่าง “แก้แค้น” เพียงแค่ออกไปซื้อปืนซักกระบอกแล้วยิงพวกโจรชั่วๆ ทุกคนที่เจอกระสุนแต่ละนัดมันคุ้มเงินที่ซื้อและเต็มไปด้วยความสะใจ หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง Death Wish, 1974 (หลังๆเปลี่ยนเป็นชื่อแค้นไอ้หนวดหิน) ที่ชาร์ลบรอนสันเล่น เนื้อเรื่องหนังมันไม่ต่างกันเลย ต่างกันแค่ยุคสมัยเท่านั้น เป็นหนังในดวงใจของหลายๆ คนเป็นเหมือน ฮีโร่ด้านมืดตัวจริง ที่ช่างหมิ่นเหม่ต่อสังคมเสื่อมโทรมเช่นนี้หากปรากฎฮีโร่พันธุ์นี้ขึ้นมาจริงๆ สังคมคงจะวุ่นวาย แต่ขอให้มันมีจริงๆ เหอะ จะได้รู้กันไปเลยว่าจะวุ่นวายจริงมั้ย (เขียนหาเรื่องแล้วเนี่ย) บทสรุปของหนังทำให้หนังจบได้อย่างสมบูรณ์เพียงแค่เธอได้แก้แค้นแล้วจะชดใช้กรรมที่เธอก่อขึ้นแต่บทสรุปยังไม่จบ ไว้หามาดูเองจะรู้ว่าเราอาจจะผิด ที่เข้าข้าง เอริก้า เบน (โจดี้ ฟอสเตอร์) เพราะหนังเรื่องนี้มันแป๊ก!ไปแล้วโดยปริยาย

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ตามล่าตามรัก ขุมทรัพย์มหาภัย "Fool’s Gold"


_____เป็นแค่หนังดูแก้เซ็งธรรมดาๆ เรื่องหนึ่งครับ สำหรับชื่อ แมตธิว แมกคอนาเฮย์ ที่เพิ่งผ่านเรื่อง “Sahara” ทำให้โปรโมทเหมือนดูเป็นหนังแนวเดียวกัน ถ้าไม่ใช่ระดับคอหนังก็ต้องผิดหวังตามกัน เพราะชื่อของ เคตฮัดสัน รับประกันได้ว่าเป็นหนังกุ๊กกิ๊กปนตลก ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระนางคู่นี้โคจรมาพบกันถือเป็นครั้งที่สองแล้วครับ เธอเองก็ไม่ค่อยมีหนังมาพักใหญ่แล้วแฟนๆ คงคิดถึง แล้วหนังเรื่องนี้ก็น่าจะเป็ของเธอมากกว่าแมตธิว ในหนังออกจะคันๆ ที่ได้หยิกไฮโซสาวปารีสยิ กๆ ทั้งเรื่อง ส่วนโดนัลซัทเธอร์แลนด์ก็เล่นวางตัวเป็นอภิมหาเศรษฐีที่มีความปราดเปรื่องและภูมิฐานสมฐานะไม่ดูติ๊งต๊องตามบทถนัดของเขา ตัวหนังไม่ค่อยมีส่วนให้ลุ้นเท่าไรและก็ไม่ได้มีปริศนาที่ลึกลับซับซ้อนชวนฉงน ก็มันไม่ใช่แนวเดียวกับ “National Treasure” แต่ผมอยากจะเอาไปเปรียบกับ “In to the blue” มากกว่า มันมันน่าดูกว่า พระเอก(พอลวอล็กเกอร์)เฟรชชี่กว่า นางเอก(เจสสิก้าอัลบา)หุ่นเซ็กซี่กว่า แอ็คชั่นขึงขังกว่า แต่ก็อย่างว่าล่ะ ไม่มีตรงไหนรีแล็กซ์เลย สำหรับ Fool’s Gold เราได้เห็นธรรมชาติทะเลทั้งหาดทั้งอ่าว ทั้งหิน ปะการัง ดูสดชื่นสดใสสำหรับปีที่มีหนังออกจะเครียดๆ ออกมามากมายซะเหลือเกิน ก็ได้เปลี่ยนรสชาติให้ได้พักสมองบ้างหัวได้เบาเย็นนอนสบายดีครับ

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2551

จูโน่ โจ๋ป่อง ใจเกินร้อย "JUNO"


_____ปีนี้ถ้าใครยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ถือว่า เชย สุดๆ ไปเลยครับ มาว่ากันก่อนว่าทำไมถึงไม่ได้ฉายในโรงหนังบ้านเรา หลังจากดูจบก็ควรจะเข้าใจกฏหมายอเมริกาที่ให้เสรีภาพถึงขีดสุด ๆ ไปเลยกับการจะให้เด็กนักเรียนตั้งท้องพลางเรียนพลางได้แต่กฎหมายนี้ก็ไม่ได้ใช้ทุกรัฐหรอกนะครับยิ่งกับบ้านเราหมดสิทธิ์เลยปัญหาท่วมประเทศแน่ สำหรับหนังเรื่องนี้ผมถึอว่าดีและอันตรายครับ หนังดีตรงตีแผ่ชีวิตผู้หญิงท้องก่อนวัยอันควรและตัดสินใจด้วยตัวเองด้วยความจำเป็นและเธอก็โชคดีที่คนรอบข้างคอยเอาใจช่วยแต่สังคมบ้านเราไม่มีแบบนี้แน่ในตอนท้ายของหนังก็มีบทสรุปที่ผมคงเฉลยได้นะเพราะหนังก็ไม่ลึกลับซับซ้อนชวนให้ลุ้นอะไร สรุปที่จูโน่เป็นผู้ตัดสินใจคลอดลูกแล้วยกให้คุณแม่วาเนสซ่าถึงแม้ว่าเธอจะต้องหย่าขาดกับสามีในภายหลัง ดูแล้วก็ไม่วายที่เด็กจะเติบโตโดยไม่มีพ่อ แล้วที่ผมคิดว่าอันตรายก็ตรงที่ หากผู้มีการศึกษาบ้านเรามีความต้องการจะดำเนินสิทธิเสรีภาพเช่นนี้ด้วยแล้วการผลักดันก็อาจจะตามมา ไม่ว่าการทำแท้งเสรี การตั้งท้องเสรี การรรับบุตรบุญธรรมทั้งที่ครอบครัวอุปการะหย่าขาดกัน โอ...คุณพระคุณเจ้าช่วย สาวน้อยจูโน่เธอช่างใจแข็งเหลือเกินที่จะไม่มองหน้าลูกในไส้และไม่อาลัยอาวรณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นใด ๆ เลย นี่มันเพราะกฎหมายอำนวยให้จิตใจคนเรากระด้างขึ้นได้ด้วยหรือเนี่ย..มันคงเป็นไปได้ครับ ก็หนังมันฟ้อง อ่ะคับ.. อ๋อ ผมทราบครับว่าแนวของหนังไม่ใช่แนวดราม่าเรียกน้ำตา ในเนื้อเรื่องจะไม่มีการซ้ำเติมความไร้เดียงสาใจเร็ว ยิ่งไม่มีการพูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียวมีแค่อึ้งตาม ๆ กันที่เด็กอายุ 16 จะมีเพศสัมพันธ์กันรวดเร็ว ฉะนั้นการจะรับหนังเรื่องนี้ไว้ในดวงใจผมก็ขอคิดไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าสำหรับผมมันเป็นหนังไม่ดีแต่ผมหมายถึง ดีเกินไป...มั้งครับ...(คิดเอาเอง)

วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปิดตำนานอารยชน "Apocalypto"


_____จะปล่อยให้หนังเรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่พูดถึงก็ไม่ได้หรอกครับ ทุกวันนี้มีหนังหลาย ๆ ที่ขายดีกับการขายภาพโหด ๆ ทั้งที่ตั้งใจโหดและไม่ตั้งใจโหด ไม่น่าเชื่อว่า พ่อรูปหล่อหนุ่มใหญ่ Mel Gibson ก็ถือว่าเป็นผู้กำกับหนังจอมซาดิสต์ติดอันดับเข้าอีกคน นับตั้งแต่เห็น MadMax Road warior และภาคอื่นที่ขายความดิบโหดอัดกันเจ็บ ๆ จะฝังตัวเป็นสันดานของเขาไปได้ สำหรับผมเคยมองภาพเขาเป็นหนุ่มอารมณ์ดีเข้ากับบทโรแมนติคคอมมาดี้ คิดผิดคิดใหม่ได้เลย ก่อนจะมาปิดตำนาน ก็มาร่ายผลงานของหนุ่มเมลนิดนึง หนังกำกับเรื่องแรกก็ประสบความสำเร็จสูงมาก ๆ “เบรฟฮาร์ท วีรบุรุษหัวใจมหากาฬ” พี่เมลลงทุนนอนให้โดนผ่าท้องลากไส้จนถึงแก่กรรมในตอนจบ ผลงานต่อมา “พาสชั่นออฟเดอะไคร์ซ” ก็ถือว่าเป็นตำนานพระคริสต์ในช่วงเวลาราววันสุดท้ายของชีวิตพระเยซู ก็ทำให้เราได้เห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้แต่จินตนาการเอาว่า พระเยซูถูกทรมานพระวรกายหนักอย่างไรถึงได้ปลดปล่อยบาปให้ทั้งโลก ภาพความเจ็บปวดก็คงไม่เท่ากับ “ปิดตำนานอารยชน” ที่ชาวอารยันนำมนุษย์เผ่าเล็กเผ่าน้อยมาบูชายันด้วยการสับศีรษะควักหัวใจแล้วโยนทิ้ง ทีละคนตลอดเวลาเป็นวัน ๆ ผมเชื่อว่าภาพที่สื่อออกมานั้นโหดเหี้ยมแต่ก็แฝงไปด้วยความนัยมากมาย ความไม่สมเหตุผลของการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ก็ไม่ต่างกับการทำสงครามล้างเผ่าพันธุ์ที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ถ้าเป็นไปได้อย่างเจ้าหนุ่มน้อย “จากัวร์” ได้มีโอกาสลุ้นที่จะเอาชีวิตรอดจากเหตุบังเอิญที่ชาวมายันบูชาพระสุรีย์ เกิดปรากฎการณ์สุริยคาส ก็ไม่วายที่คนสมัยโบราณอย่างมายันก็ปล่อยตัวเอาหน้าแล้วแอบฆ่าข้างหลัง ไม่ต่างกันเลยกับคนในปัจจุบัน ผมมองเห็นได้ชัดเจนว่า สันดานดิบคนไม่เคยวิวัฒนาการไปในทางที่ดีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ก็สมควรที่อารยธรรมมายันถึงได้ล่มสลายอย่างรวดเร็วจนเป็นปริศนาทั้งที่มีความเจริญถึงขีดสุด