วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

หลอน...ไม่หลับ "The Machinist"

______ดาราเจ้าบทบาทอีกคนที่น่าจะต้องเขียนถึง “คริสเตียนเบล” จากเด็กอังกฤษจนกระทั่งโตเหนุ่ม มีผลงานการแสดงที่ทำให้ผมต้องติดตามมาตลอด ก่อนหน้านี้บทที่หนูน้อยแสดงนำในหนังของสตีเวนสปีลเบอร์ก “Empire of the sun” ทำให้ผมยอมรับในความสามารถการแสดงแบบทุ่มสุดตัวทั้งเลอะเทอะโคลนอดอยากจนผอมซูบเผชิญเรื่องร้าย ๆ จากการเป็นเชลยของกองทัพทหารญี่ปุ่นในเมืองจีน ต่อมาผมก็ได้ยินว่า The Machinist เจ้าหนุ่มคริสเตียนเบลคนเดียวกันนี้ทุ่มสุดตัวอีกครั้งลงทุนลดน้ำหนักชนิดเห็นซี่โครงจนตัวงอเพื่อเข้าฉากหนังเล็ก ๆ ที่ไม่ได้หวังจะทำรายได้ฮือฮา ต้องลองชมเองผมถึงกับอึ้งในควมเป็นคริสเตียนเบล เขาทำสถิติยุดยอดฮอลลีวู้ดดาราที่ยอมลดน้ำหนักตัวชนิดจนผอมซูบจนดูเป็นผีตายซาก โดยไม่ได้ใช้เทคนิคเมกอัพหรือสแตนด์อินใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนตัวเนื้อเรื่องเองก็ไม่ได้ขี้เหร่ยังมีความน่าสนใจพอสมควร The Machinist เป็นหนังทริลเลอร์ลึกลับซ่อนปม เกี่ยวกับ “เทรเวอร์” ชายคนหนึ่งที่นอนไม่หลับจนสุขภาพร่างกายผอมโซ แล้วต้องมาเจอกับเรื่องร้าย ๆ ในการร่วมงานในโรงงานเครื่องจักร ชีวิตประจำวันอันแสนน่าเบื่อเขาต้องไปซดกาแฟคุยกับสาวเสริฟม่ายลูกติดคนหนึ่งทุกคืนในเวลาเดิมเสมอ เขามีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวคือโสเภณีสาวรับบทโดย เจนนิเฟอร์เจสันลีก์ ชีวิตของเทรเวอร์ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาราวกับว่ามีอุบัติกรรมบางอย่างตามหลอกหลอนเขาจนกระทั่งตัวเขาเองได้พบกับ ทักเกอร์ ร่างสมติที่กลับกลายเป็นจินตนาการที่เขาเสริมขึ้นมาในชีวิต ทุกอย่างที่รุมเร้าชายร่างผอมโซที่น่าสมเพชผู้นี้ช่างน่าเห็นใจและชวนลุ้นระทึกให้ต้องตามล่าหาความจริงว่า แท้จริงแล้ว ทักเกอร์ เป็นผีร้ายตนไหนกันที่มาตามหลอกหลอนให้ชีวิตของเทรเวอร์ต้องแย่ลงไปกว่าที่เป็นอยู่อีก ช่วงท้ายของเรื่องเป็นบทสรุปชวนขนลุกขนฟอง กับบาปกรรมอันแท้จริงที่หนุ่มเทรเวอร์ต้องประสาทหลอนอดหลับอดนอนสร้างจินตนาการในภวังค์ขณะที่ยังตื่นอยู่ มันชัดเจนยิ่งกว่า อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม เพียงแค่เทรเวอร์ยอมมอบตัวเองเดินเข้าคุกเสียดี ๆ เขาก็จะได้นอนหลับพักได้เต็มอิ่มซักคืนเมื่อตื่นขึ้นจะได้เผชิญโลกความจริงที่ได้สำนึกบาปที่ตนกระทำ แหม! หากเรื่องนี้เป็นจริงได้ก็ดี สมัยนี้คนมันช่างทำบาปทำกรรมเป็นว่าเล่น ชาติต่อมา เจ้าหนุ่มคริสเตียนเบล ก็ยังคงต้องใช้กรรมกลับมากินได้นอนหลับเพาะกล้ามเป็นมัดอย่างรวดเร็วแล้วหันมาปราบปรามเหล่าร้ายในร่าง “อัศวินแห่งรัตติกาล” ไว้ค่อยนำเสนอต่อไปครับ

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

นาทีเป็น นาทีตาย "11:14"


______หนังเล็ก ๆ ทุนต่ำที่น่าสนใจสุด ๆ ช่วงเวลาห้าทุ่มสิบสี่นาทีเดียวกันนี้ของใครซักคนหนึ่งมันอาจจะมีความเกี่ยวโยงถึงใครอีกหลาย ๆ คนก็ได้ เมื่อมีต้นเหตุก็ต้องมีปลายเหตุ หนัง 11:14 มีชั้นเชิงการนำเสนอที่เยี่ยมยอดมากแม้กระแสตอบรับกันมีแค่ในกลุ่มหนังอินดี้ด้วยกันก็ตามความสนุกนาทีต่อนาทีกับเรื่องราวที่นำมาปะติดปะต่อกันนั้นลงตัวช่างเป็นบทและการดำเนินเรื่องที่ยอดเยี่ยม 11:14 น่าจะดูเป็นหนังแนวฆาตกรรมที่ไม่ต้องมีการสืบสวนเพียงแต่ไล่เวลาหาที่มีการการเกิดศพที่ตกลงมาใส่หน้ารถที่กำลังวิ่งฉิว แล้วมีปัญหาอะไรนักหนาที่เจ้าของรถจะหามศพนั้นใส่ท้ายรถโดยไม่แจ้งตำรวจทั้งที่เขาควรทำ นั่นมันตอนจบคร้าบ มันจะวกกลับไปตอนเริ่มอย่างแยบยล ว่า ศพนิรนามนั้นมันอะไรกัน อ๋อ..เขามีชื่อเขาเป็นคนรักของสาวหน้าหวานสำส่อนที่กำลังสะสมเงินเพื่อหนีออกจากบ้าน นอกจากนี้ในเวลาเดียวกันเราก็จะได้รู้จักกับผู้โชคร้ายที่ดวงจู๋สุด ๆ ที่จู๋ของเขาต้องขาดกระเด็นเพราะความพิเรน ขณะเดียวกันก็เป็นเวลาที่สาวสำส่อนจะต้องใช้กรรมกับบาปของตนเอง เวลา 11:14 อาจจะเป็นเวลาที่มัจจุราชกำหนดไว้แล้วให้เป็นเวลาลงทัณฑ์กับคนบาปที่เกี่ยวข้องกัน เหมือนกับที่เรานึกภาพไม่ออกกับการที่เราจะต้องมาอ่านสถิติว่าทุก ๆ 1 นาทีอาจจะมีคนตายพร้อมกันถึง 3 คนทั่วโลก หนังไม่ธรรมดาเรื่องนี้มีดารารุ่นกลางใหม่กลางเก่าหรือเกือบตกกระป๋องอย่าง แพทริกสเวซี่ย์ ราเชลลีคุ๊ก เฮนรี่โทมัส (เจ้าหนูเอเลียตใน E.T.) ฮิลลารี่สแวง มาโผล่ในหนังอินดี้ ที่ชวนติดตามตลอดทุกนาที ผสมกับมุขตลกร้ายจนร้ายสุด ๆ ก็แค่เป็นการดูหนังเปลี่ยนบรรยากาศเครียดมากเครียดน้อยลงเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนจะหาหนังระดับขวัญใจนักวิจารณ์แบบหนัก ๆ ลองเทียบกันดู

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

พลระห่ำ สงครามนรก "Jarhead"


______ได้ดูมาซักพักใหญ่แล้วรู้สึกติดใจดาราใหญ่รุ่นใหม่อย่าง “เจมี่ ฟอกซ์” ที่แสดงบทนำแบบน่าหมั่สไส้ได้เยี่ยม JarHead ในความหมายผมเข้าใจว่าน่าจะหมายถึง “หัวเกรียน” หรืออีกนัยน่าจะหมายถึง ชายชาตรี ลูกผู้ชายตัวจริง หนังเรื่องนี้สำหรับผมน่าจะขึ้นแท่นหนังคลาสสิคยุคปี 2000 เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ไม่ใช่หนังสงครามนะครับแม้จะเห็นฉากสนามรบทะเลทรายแต่เนื้อเรื่องนั้นถือว่าเสียดสีต่อต้านหนังสงครามแบบนิ่ม ๆ “เจค จิลเลนฮาล” ได้รับทนำในการดำเนินเรื่องตลอดทั้งเรื่องฝึกที่จะใช้ปืนไรเฟิลเพื่อสังหารศัตรูชนิดที่ว่า “นัดเดียวจอด” การฝึกเต็มไปด้วยแรงกดดันที่กองทัพบรรจุอัดใส่เขาและบรรดาทหารร่วมรุ่นให้พร้อมจะจู่โจมทำลายได้ทุกเมื่อ พอเอาเข้าจริง ๆ ภารกิจสำคัญในท้ายเรื่องกลับตาลปัตร ไม่มีการโจมตี ไม่มีการสังหาร ที่สำคัญไม่มีการยิงศัตรูแม้แต่นัดเดียว บังเกิดความอึดอัดแทบบ้าคลั่งกระหายสงครามในเส้นเลือดบรรดาพลทหารใหม่ขึ้นมาทันที แม้จะขอยิงซักนัดก็ไม่ได้ จนกระทั่งจบภารกิจสำคัญ จ่าฝูงอย่างเจมี่ฟอกซ์ก็อนุญาตให้บรรดาพลทหารระเบิดความอัดอั้นกระหน่ำยิงปืนขึ้นฟ้าชนิดที่ว่ามีกระสุนกี่ตับกี่แผงหรือก็นัดก็ไม่ต้องเหลือซักเม็ด ทำให้หนังจบลงได้อย่างโล่งใจ
______เมื่อดูจบแม้จะรู้สึกโล่งใจไปบ้างกับรรยากาศหนังในสงครามทะเลทรายบริเวณอ่าวเปอร์เซียที่ใคร ๆ ในแนวหลังอดเป็นห่วงไม่ได้ จะรู้สึกหวาดกลัวภัยที่เกิดขึ้นกับเยาวชนที่อาสารับใช้ชาติแห่งมหาอำนาจ ก็พวกเขาคนใดคนหนึ่งอาจจะตายได้ง่าย ๆ ก็เรื่องไม่เป็นเรื่อง จากการฝึก จากแรงกดดันที่ครูฝึกยัดใส่พวกเขาให้เกิดความอดทนอยากจะระเบิดกระสุนใส่ใครซักคนอย่างแม่นยำ สิ่งเหล่านี้แน่ใจหรือว่าลูกหลานที่เราเลี้ยงดูจนเติบโตขึ้นมาอย่างยากเย็นนั้น เราเต็มใจจะให้เขาไปเป็นมือสังหารระดับพระกาฬขนาดนี้ ที่เขาต้องเผชิญคำด่าทอขู่เข็ญเอาเป็นเอาตายลำบากขนาดนี้เพื่อจะได้มีแรงฆ่าคนที่เขาเห็นว่าเป็นศัตรูของประเทศ สิ่งที่ผมบอกว่าโล่งใจคือ มันจบลงได้กับสงครามที่ไม่ต้องฆ่าใคร มันน่าโล่งใจกว่ารึเปล่า? แทนที่จะต้องยิงใครตายซักคน ลองถามเพื่อนที่นั่งดูข้าง ๆ สิว่า หนังจบแบบยิงกระหน่ำทำสงครามกันอย่างสยดสยองจะมันสะใจดีหรือจบแบบทหารเกณฑ์มือสะอาดไม่เคยฆ่าใครเลยอะไรมันจะดีกว่ากัน...โฮ่ย..โล่ง

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

ว้อหมาบ้ามหาสนุก


______หนังตลกเป็นหนังหากินที่สร้างอย่างไรก็ไม่ขาดทุนยิ่งโปรโมทมาก ก็ยิ่งมีคนดูมาก หนังตลกอมตะยิ่งถ้าเป็นหนังผีก็ยิ่งดึงดูดคนดูแม้จะเป็นมุขเก่ามาเล่นใหม่แค่เปลี่ยนคนเล่นเปลี่ยนชื่อเรื่องก็ยังมีคนมาดู แล้วถ้าเป็นหนังตลกอมตะที่มีภาคต่อมากที่สุดเป็นประวัติการณ์อย่าง “บ้านผีปอป” ซึ่งมีข่าวมาแล้วว่ากำลังฉายภาคใหม่ล่าสุดทำรายได้อยู่ขณะนี้ ไม่นานก็มีหนังเลียนแบบกับทีมงานหน้าเดิม ๆ ของจาตุรงค์ มกจ๊กและคณะชวนชื่นทำเป็น “บ้านผีเปิบ” ออกมา ทำเงินไปนิดหน่อย สายทีมงานหม่ำจ๊กมกก็ไม่ยอมน้อยหน้า ทำหนังตลกแนวเดียวกันนี้ด้วยไอเดียแปลกใหม่แบบไม่จำเจที่น่าสนใจ คือ “ว้อหมาบ้ามหาสนุก” ที่ยังคงมีดาราประจำมาแทรกได้ทุกเรื่องตลอดทั้งปีอย่าง “ค่อม ชวนชื่น” ซึ่งสังกัดสมาคมตลกฯ มาในบทที่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่(บ้าน) ไม่ใช่แค่ลูกไล่อีกต่อไป ส่วนทีมงานดาราที่แสดงก็เทียบไม่ได้กับเรื่องก่อน “แหยมยโสธร” ซึ่งผมยกให้ “แหยมฯ” เป็นหนังตลกคลาสสิคที่สร้างความแตกต่างให้วงการหนังตลกไว้พอสมควร แต่สำหรับ ว้อหมาบ้าฯ กลายเป็นหนังที่คนดูคาดหวังเกินไป สรุปว่าผมเฉย ๆ กับมุขตลกในหนัง ผมผิดหวังกับทีมดาราแสดง แต่ขอชมไอเดียสุดบรรเจิดที่เอา มะม๋ามาเป็นดารานำสร้างความเซอร์ไพร์ส พอ ๆ กับพี่แอ๊ดที่โผล่มาให้อึ้งเล่น หลังจากใครต่อใครเที่ยวถามหาว่าทำไมไม่ร่วมกับ พธม ที่แท้ไปจับหมาบ้าอยู่นี่เอง (ล้อเล่นครับพี่น้องงงงง..)

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

Sex and the City The Movie


______ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่แฟนตัวยงของซีรี่เรื่องนี้เพียงแต่ขอชม Sex and the city ในภาคจอแก้ว สำหรับสาวไทยหรือหนุ่มไทยก็ไม่ได้ฮือฮาตามกระแสหนังเท่าไรเรียกได้ว่า Sex and the city เงียบสนิทในบ้านเรา แต่เป็นที่น่าแปลกที่ในกลุ่มคนดูฉบับโฮมวีดีโอนั้นมาแรงขนาดแย่งกันเช่าและแย่งกันซื้อแผ่นทีเดียว หนังเรื่องนี้ผมยอมรับว่าตรงกับคำพูดสี่สาวในเรื่องที่ต่างคนต่างเป็นกระจกมองซึ่งกันและกัน ไม่มีความลับ มีแต่ความจริงใจออกจะส่วนตัวมาก ๆ สำหรับผู้หญิงจนค่านิยมบางอย่างของสาวใหญ่ซาแมนธ่าที่เปลี่ยนคู่นอนได้ไม่ซ้ำหน้าไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะเอาอย่างแต่ก็เชื่อเหอะ! คนแบบนี้ย่อมมีอยู่จริงแน่นอนรับ ๆ ไว้ดูเล่นแล้วกัน เพราะสามสาวที่เหลือนั่นตัวประกอบ เรื่องหลักก็จะเป็นของสาวคอลัมภ์นิสต์ แครี่แบรดชอว์ (ซาร่าห์เจสซิก้าปาร์กเกอร) เธอออกจะพริ้งพราวเฉิดฉายโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม สำหรับความรักที่เธอตามหามานานจนต้องเจออุปสรรคใหญ่ “การแต่งงาน” เธอและหนุ่มบิ๊กจะต้องฝ่าฟันวันแห่งความฝันนี้ไปให้ได้ มันยากที่สุดสำหรับการลงเอยด้วยการแต่งงาน ปัจจุบันนี้เห็นได้ชัดแล้วว่านิยายประเภท “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...เจ้าชายและเจ้าหญิงก็แต่งงานกันอย่างมีความสุข” มันไม่ใช่นิยายที่ผุ้หญิงอายุหลักสามสิบจะฟังแล้วเคลิ้มฝัน ชีวิตจริงใจสังคมใหญ่ที่แวดล้อมด้วยสิ่งซึ่งอำนวยความสะดวกดีแล้ว Sex and the city กำลังบอกผมว่า ชีวิตจริงสิ่งสำคัญที่สุดคือ “ตัวตนของตนเอง” สาวแครี่ที่เคยตามหาฝันด้วยเท้าเปล่าติดดินมาก่อน จนกระทั่งเธอเป็นสาวแบรนด์เนมพร่างพราวด้วยแฟชั่นแท้ไม่เทียมไม่เคยซ้ำยี่ห้อและไม่ตกยุค เธอไม่ธรรมดา รวมทั้งตัวตนของเธอก็ไม่ใช่ของเธอ

______กระจกทั้งสี่บาน (สี่สาว) มองมิติต่างมุมไปตามชีวิตความเป็นอยุ่ ชาร์ล็อตแต่งงานมีความสุขเธอกำลังจะตั้งท้องได้สำเร็จ มิแนด้ามีปัญหากับสตีฟเพราะเรื่องบนเตียงแบบผัวเดียวเมียเดียว นั้นมันรุมเร้าให้กันจนกระจกอาจจะหมองมัวไม่ชัดเจนมองไม่เห็นความจริง สุดท้ายแล้วเมื่อค้นพบ “ตัวตน” ไม่ว่าผู้หญิงเท้าติดดินธรรมดา หรือ สาวส้นสุงไฮโซ ก็จะมีความสุข Sex and the city เป็นหนังที่จบซีรี่ย์ได้อย่างงดงาม เพียงแต่มันคงจะน่าเบื่อไปหน่อยที่จะยิงกลุ่มเป้าหมายได้ถูกทาง มันน่าจะเหมาะกับสาวแม่บ้านที่นั่งทึนทึกอยู่กับบ้านแล้วดูซีรี่ย์เรื่องนี้อย่างเป็นวรรคเป็นเวร คล้าย ๆ กับอ่าน เสพสมบ่มิสม ทางจอทีวี ผมคนหนึ่งล่ะที่พอดูหนังจบแล้วอยากให้มีซีรี่ย์นี้ต่อไปแม้ไม่เคยดุมาก่อน แต่คิดว่ามันอาจจะเป็นของจำเป็นก็ได้สำหรับคนที่มีชีวิตคุ่จะนั่งดูด้วยกันแล้วเข้าใจกันทุกวัน


วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

นางมารสวมปราด้า "The Devil wears Prada"


______ยอมรับเลยว่าเป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่ง ก่อนจะดูหนังเรื่องนี้กระแสบอกว่าเป็นหนังสำหรับผู้หญิง ตอบสนองสิทธิสตรีกระแสดงออกการเข้าสังคมและหน้าที่การงานบ่งบอกความเป็น Working girl แต่คงไม่ผิดมั้งที่ผู้ชายจะดุหนังเรื่องนี้เพื่อจะได้เข้าใจผู้หญิงให้มากขึ้น หนังอาจจะมีต้นฉบับจากหนังสือขายดีทำให้ผมแปลกใจในความเป็นสังคมอเมริกันที่รักการอ่านเสมอจน หนังหลาย ๆ เรื่องมีต้นฉบับจากหนังสือขายดี และนำมาสร้างหนังแบบโจทย์ที่ยากจะตีความให้แตกหนังหลายเรื่องคงจะแตกกระจายไม่เป็นท่า แต่นางมารสวมปราด้าถือว่าตีโจทย์ได้แตกฉาน ประเด็นหนังก็แค่ง่าย ๆ ผู้หญิงที่เกือบจะเปลี่ยนตัวเองไปกับหน้าทีการงานพาไปเพื่อสนองความต้องการกับเจ้านายจอบถือตัวเปรียบดังมารร้ายที่แสนสุดจะไฮโซ บทนางมาร มิแรนด้า วางให้เมอรีลสตรีฟนั้นเหมาะเป็นที่สุด (อีกคนที่ผมคิดไว้ก็คงจะเป็น เกล็นโคลส แต่อาจจะดูแก่ไป) การชิงดีกันด้วยความสามารถเป็นสิ่งที่หาได้ยากในสังคมคนไทยโดยเฉพาะยุคสมัยนี้ หนังเรื่องนี้ถ้าไม่นับมุขเสียตัวเพื่อแลกกับความสำเร็จ ผมถือว่าเป็นหนังตัวอย่างที่ดีที่ผู้หญิงทั่วไปจะนำไปเป็นแบบอย่างที่จะพัฒนาตัวเองทำมันทุกงาน ทำได้ทุกอย่างไม่เกี่ยง ทำได้ทุกเวลาไม่มีท้อแท้ ให้สปิริตกับตัวเอง แต่อย่าลืมตัวเองว่าเคยมีอะไรที่ไฝ่ฝันอยู่ในใจไปให้ถึงความฝัน หนังมีบทสรุปที่น่าทึ่งมาก สาวน้อยแอนดี้ทำทุกอย่างแม้สิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดจนสำเร็จเอาชนะเล่ห์กลลวงและไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตตนเองได้แต่กลับไม่เลือก


______เธอขอเลือกทางเดินที่เคยวางไว้ดีกว่าทิ้งความสุขในการทำงาน ชีวิตคงไม่เป็นสุขแน่ถ้าตลอดชีวิตไม่ได้ทำงานที่ตนเองชอบและถนัดจริง ๆ ดูหนังแบบผู้หญิงสมัยใหม่จะเห็นว่าผู้หญิงแกร่งนั้นแท้จริงภายในเปลือกแข็งนั้นไม่ใช่ผลไม้สุกที่น่ากินเลย แรกเริ่มเดิมทีผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นหนังตลกหรือหนังดูสนุกเรื่อยและออกแนวน้ำเน่าเอาใจผู้หญิง ดูไปมามันก็ไม่ใช่หนังตลกและก็ไม่ใช่น้ำเน่าบันเทิง หนังคงจะดูสนุกเหมาะกับสาวสังคมเมืองมากว่าจะเจาะกลุ่มคนดูที่ดูเพียงผ่าน ๆ มันดีซะอีกที่มีหนังเรื่องนี้ให้ดูจะได้กระแทกสาวไฮโซเห่อแบรนด์เนมที่สวมมันซะทุกอย่างจนเต็มเนื้อเต็มตัวสวมร่างเป็นนางมารแฟชั่นโลดแล่นในสังคม แค่หยิกแกมหยอกหนังยังไว้หน้าคนไฮโซอยู่ สำหรับผมแล้วหนังก็คือหนัง เพียงแต่หนังเรื่องนี้มันช่วยให้สาวไทยได้น้ำลายหกดูสินค้าเสื่อผ้าสวย ๆ งาม ๆ ได้ตลอดทั้งเรื่องโดยที่อาจจะไม่ได้สนใจเนื้อเรื่องเลยก็ได้

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

เฟรนด์ชิพ เธอกับฉัน "FriendShip


______ดูจากปกหนังแล้วมีความรู้สึกถึงความน่าสนุกสนาน อบอุ่นชวนทะเล้นให้ยิ้มออกถึงความหลังครั้งสมัยเรียน เมื่อเปิดกล่องออกมาดูกลับให้ความรู้สึกที่ตรงกันข้าม หนังมีดารามากฝีมือลายคนแสดงแต่กลับแสดงกันอย่างลวก ๆ ไม่จริงจังหนังไม่สมจริงไม่อบอุ่นไม่สนุกสนานแถมตอนจบชวนหดหู่แม้จะเคยได้ยินว่าหนังจะหักมุมในตอนจบ ไม่แฮปปี้เอ็นดิ้ง แค่เจอนางเอกนอนรอความตาย แต่จบแบบนี้ไม่ใกล้เคียงคำว่าหักมุมเลยไร้ชั้นเชิงสิ้นดี ถ้าโลกนี้มีสินค้าปลอมปนจำหน่าย ผมจะยกตัวอย่างว่าหนังเรื่องนี้ก็ของปลอมหลอกขาย โดยเฉพาะนายแจ็คที่ร่วมแสดงทำให้นึกถึงหนังอย่าง “แฟนฉัน” หรือเมื่อเร็ว ๆ นี้ “ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น” ที่เราจะย้อนหลังเปิดลิ้นชักหยิบของเก่า ๆ มาดูกัน หนังเรื่องนี้คงเป็นลิ้นชักในบ้านร้างเก่า ๆ การดำเนินเรื่องก็มีแต่ด้านมืดของวัยรุ่น กินเหล้า ทะเลาะทุบตี เที่ยวโสเภณี แม้หนังจะมีฉากร่วมแรงกันสร้างบ้านหรือกิจกรรมเพื่อชนบท ก็ไม่ช่วยให้หนังดี ความน่าผิดหวังหนักกว่า หนัง “วัยอลวน ตั้มโอ๋ รีเทิร์น” ยุคใหม่ที่พยายามจะสื่อเรื่องรักใส ๆ หัวใจจริงจัง หนังสื่อความรักวัยรุ่นที่ถูกกลืนไปในยุคสมัยใหม่วัยรุ่นชิงสุกก่อนห่ามจนรายได้หนังแทบเหลวจนหนังต้องเงียบหายไปเฉย ๆ “เฟรนด์ชิพ” ถือเป็นบทเรียนหนึ่งที่ชัดเจนว่าจะทำหนังวัยรุ่นคงต้องระวัง เป็นหนังมีเนื้อหาเชย ๆ ผิดยุคผิดสมัยมองไม่เห็นสิ่งที่หนังจะสื่อออกมากว่ามันเกี่ยวกับอะไรกันแน่ จนกระทั่งหนังจบก็มีแต่ความหดหู่ไม่ค่อยจะรู้สึกบันเทิง เพราะเห็นแต่ด้านมืดของวัยรุ่นมานำเสนอตลอดเรื่องจนกระทั่งจบ หนังจงใจจะให้ดังขนาดขนดาราหน้าใหม่ “มาริโอ เมาเร่อ” ซึ่งน่าจะมีแรงดึงดูดได้ดี แต่ ถึงจะดังขนาดไหนแฟนคลับ “รักแห่งสยาม” ก็มาช่วยอุดหนุน “เฟรนด์ชิพ” เลย ที่ผมเห็นกระแสของหนังเรื่องนี้ก็จะมีแต่ เพลง “ใจนักเลง” ของพี่อ๊อฟพงษ์พัฒน์ที่กลับมาฮิททั่วบ้านทั่วเมือง หนังเฟรนด์ชิพผมยกให้เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ใช้เพลงประกอบเปลืองที่สุดเท่าที่เคยนับมาเลยทีเดียว จะสับให้เละอีกนิดก็ต้องบอกว่า เพลงประกอบล้วนเก่าขนาดหาซื้อได้ตามแผงขายแผ่นลดราคาพิเศษได้ทั่วไป พอเถอะยิ่งเขียนยิ่งเพิ่มข้อกล่าวหาซะไม่มีดี

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

พยัคฆ์ฉลาด เก๊กไม่เลิก "Get Smart"


______หนังสายลับมักขึ้นต้นด้วยชื่อ พยัคฆ์ ตามหนังเจมส์บอนด์ต้นตำรับหนังสายลับแบบแอ็คชั่น ก็ยังดีที่ GetSmart ไม่ใช่หนังสายลับล้อเลียนตลกเฟ่อะฟ่ะ ผมหมายถึง Johnny English ที่นำแสดงโดย ดร.โรแวนแอดคินสัน (มิสเตอร์บีนห์) ที่ขายความบ๊องดวงดีมักเป็นสูตรสำเร็จหนังแนวนี้ แต่ Get Smart ขายตลกเฟอะฟ่ะแบบไม่ตั้งใจพร้อมคำพูดจาเชิงเสียดสีเล็ก ๆ และอีกอย่างเพราะฮอลลีวู้ดมี AustinPower (ไมค์ไมเยอร์) สายลับลับ ๆ ล่อ ๆ ที่เน้นลูกเล่นทะลึ่งโปกฮาเป็นหลักก็ทำให้ดูแตกต่างและขายออกกับเซอร์ไพร์สดาราใหญ่ทุกภาค แต่คงต้องหนักใจเพระ GetSmart มี สตีฟแคเรล ดาราตลกที่กำลังจะแซงหน้าจิมแครี่ แต่ผมคิดว่าคงแซงได้แค่ช่วงหนึ่งเพียงไม่นานอีตาจิมแครี่คงต้องทวงตำแหน่งคืนแหง๋ม เพราะเฮียจิมหลีกทางให้สตีพดังไปก่อน ชื่อ Smart บอกชัดเจนว่าสายลับผู้นี้เป็นคนฉลาดหาไม่ได้เลยในหนังแนวนี้ ที่ตัวเอกเออกจะปิ่น ๆ แต่ฉลาดล้ำลึกไม่ตั้งใจบ๊องส์ หนังสนุกทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังไม่ใส่ส่วนผสมความเครียดลงไปซักนิดหากมีภาคต่อขี้คร้านดาราจะแห่กันมาขอเล่นด้วย หนังประสบความสำเร็จมากสำหรับผมตลกไร้สารพิษปนเจือไม่ทะลึ่งจนเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดีบทแอ็คชั่นก็มันส์หยด มีแต่ขำกับมันส์อย่างนี้ จะมีให้ติเล็กน้อยตรงคาแร็คเตอร์ยังดูเป็น Evan almighty โดยรวมของหนังแล้ว คาแร็คเตอร์ของ Smat ดูหยิ่งนิด ๆ แบบนักการเมืองแต่งตัวดีไม่แพ้พี่บอนด์ ฉลาดล้ำแต่แข็งทื่อ มุขตลกออกไปทางบทพูดมากกว่า คงต้องปรับปรุงบุคลิกอีกหน่อยตรงที่ มุขตลกแบบเจ็บตัวและหนุสกปรกน่ารังเกียจไต่เลื้อยไปตามตัวยังจนได้ยิงมุขล้อเลียนท่ายิมนาสติกหลบแสงเลเซอร์ กลายเป็นมุขอมตะให้เห็นกันอีกอีกแสดงว่าหนังเรื่องนี้ไม่กลัวเจ๊งเลยซักนิด หนังตลกเบาสมองไม่ต้องคิดมากอย่าง Get Smart จะมีภาคต่อเมื่อไรเชื่อว่าก็ยังมีคนดูอยู่ดี แต่ถ้าจะสร้างมาเพ่อสนองความดังของสตีฟ แบบนี้เขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตัวเองให้พ้นจากเด็กไม่รู้จักโตในร่าง 40 ปี ไปได้หรอก ไม่ก็เปลี่ยนชื่อเรื่องแล้วจับ ตาจีมแครี่มาแสดงภาคต่อก็ยังได้ อาจจะสนุกกว่าเยอะ ยังไงผมก็ยังชอบความสามารถเฉพาะตัวของจิมแครี่กว่าซะอีก

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

หลับเป็นตื่นตาย "Awake"


______เกือบไปเหมือนกันที่จะมองข้ามหนังเรื่องนี้ไปเพราะคิดว่าหนังออกแนวเดียวกับ “Ghost” แต่พอได้ดูกลับไม่ใช่เลยยอมรับว่าเป็นหนังที่ใช้ได้จบให้ข้อคิดที่ค้างคาใจแบบหนังระทึกขวัญ เฮย์เดน คริสเตนเซน มีชื่อเสียงมาจากบท อนาคินสกายวอล์กเกอ จนกระทั่งได้เล่น “จัมพ์เปอร์” หนังค่อนข้างสั้น ส่วน Awake ก็สั้นอีกเหมือนกัน เรื่องการแสดงนั้นธรรมดาไร้ที่ติจุดเด่นของหนังไปที่เนื้อหาระหว่างการผ่าตัดที่ เคลย์ตัน เบรสฟอร์ด จูเนียร์ กำลังเผชิญชะตากรรมเหมือนคนที่วิญญาณออกจากร่างรับรู้เหตุการณ์อันเลวร้ายเกี่ยวกับการวางแผนนับปีของศัลยแพทย์เพื่อนสนิทและคู่รักที่หวังจะแต่งงานเพื่อฮุบเอาสมบัติธุรกิจนับพันล้านดอลล่าร์ จนกระทั่งแม่ของตนต้องยอมวิสามัญตนเองเพื่อมอบหัวใจให้เขาต่อชีวิตจนได้ตื่นขึ้นมาความจริงที่ค่อย ๆ เปิดเผยทำให้เราลุ้นระทึกชวนติดตาม ดูเหมือนเรื่องจะดำเนินไปแบบนั้นถ้าดูอย่างไม่คิดอะไร สำหรับผมแล้วมันมีมากกว่า มีเรื่องของคนที่เคยผ่านการผ่าตัดว่าหลังได้รับยาสลบก็มักจะฝันร้ายเป็นตุเป็นตะมีแต่เรื่องร้าย ๆ รุมเร้าจนแทบจะทำให้เขาตื่นขึ้นระหว่างผ่าตัดซึ่งอันตรายมาก การผูกเรื่องราวใน Awake ผมมองว่าเหมือนกับ Open you eye หรือ VanilaSky ในฉบับฮอลลีวูด ที่ความจริงอาจจะไม่ใช่อย่างที่กำลังฝันอยู่หรือมันอาจจะเป็นจริงก็ได้ ฝันร้ายระหว่างการผ่าตัดถือเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตที่คุณจะต้องประสบ แต่หลังจากตื่นขึ้นมาดูโลกแล้วจะรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขในเมื่อเรื่องร้าย ๆ ได้ผ่านพ้นไป Awake จะเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมปรบมือกลางโรงหนังได้ ดีนะที่ดูฉบับโฮมเธียร์เตอร์ก็เลยนั่งตบมือคนเดียวมืดมืด

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

อภินิหารตำนานเจ้าสมุทร "The Water Horse: Legend of the Deep"


______จากหนังสือนิยายขายดีที่เล่าเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดแห่ง “ล็อคเนส” ออกมาเป็นภาพยนตร์ ผมชอบหนังเกรดเอของต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะสมัยนี้แทบไม่ต่างกันเลยกับหนังฮฮลลีวูดเพียงแต่แนวการนำเสนอสมจริงมีชีวิตชีวาและภาพสวยงามกว่า ดู The Water Horse แล้วทำให้รู้สึกถึงหนังเก่า ๆ ของสปีลเบอร์ก ที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรทั้งที่ดูเหมือนจะทำออกมาดีเพียงแต่หนังสมัยนี้มักเติมเรื่องการต้านสงครามกรอกใส่หูนักดูรุ่นใหม่เสมอ เด็ก ๆ อาจจะไม่ชอบแบบนี้ ทะเลสาบล็อคเนสคงจะมีตำนานอยู่จริงแต่คงไม่ใช่ม้าน้ำที่ดูเหมือนแมวน้ำมากกว่า และมันคงเสียชีวิตไปแล้วถึงได้ทิ้งไข่ไว้ในตอนจบ เรื่องเล่าของสิ่งลึกลับและภาพถ่ายหลักฐานมากมายก็ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเรื่อยจนถึงทุกวันนี้ การเล่าเรื่องของเด็กชายแองกัสออกจะน้ำเน่าและดูคล้ายหนัง “อีราก้อน” กลายเป็นภาพน่าเบื่อ ยิ่งน่าเบื่อเข้าไปใหญ่เมื่อญี่ปุ่นตัดหน้าให้โนบีตะพบไข่ไดโนเสาร์แล้วเลี้ยงจนโตเป็นการ์ตูนมูฟวี่ฉายให้คนทั่วโลกดูมาราว 30 ปีแล้ว ป่านนี้แม้แต่คนรุ่นใหม่ก็ยังจำได้ ตำนานสุดวิเศษนี้ก็ไม่ช่วยให้ดูแล้วตื่นเต้นเลยซักนิด

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

สามก๊ก โจโฉ แตกทัพเรือ “The Battle of Red Cliff”

______ก่อนโอลิมปิกปักกิ่งเกมส์จะเริ่มจีนแผ่นดินใหญ่ต้องแสดงความพร้อมประกาศความยิ่งใหญ่และต่อสู้กับอุปสรรคด้านการต่างประเทศที่เข้ามารุมเร้ามากมาย ด้านวงการบันเทิงผู้กำกับชาวจีน”จางอี้โหมว”ได้รับเกียรติให้กำกับเวทีสนามเปิดพิธีกีฬาฯ อย่างเป็นทางการแทนที่ “สตีเว่นสปีลเบอร์ก” ดูเหมือนว่ายังมีผู้กำกับชาวจีนอีกคนที่อยากจะร่วมประกาศความยิ่งใหญ่ของประเทศจีนได้ร่วมกันสร้างหนังตำนานสงครามจีน “สามก๊ก” โดยจอห์นวู ได้รับความไว้วางใจให้กำกับหนังจีนเรื่องนี้โดยโปรดิวเซอร์ชาวเอเชียหลายชาติหลายสิบคนร่วมแรงช่วยกันทำงานนี้ ถือเป็นประวัติศาสตร์ผลงานของชาวเอเชียเรื่องหนึ่งทีเดียว ตามปกติเราคงนึกหน้าจอห์นวูในแบบหนังแอคชั่นถือปืนท่ายิงโครตรเท่ห์แต่ตอนนี้ต้องขอรับใช้สร้างผลงานให้ชาติกำเนิดตนเองหันมาจับหอกดาบแทนซึ่งดูแล้วก็เข้าท่าดี
______หนังถูกแบ่งออกเพราะความยืดยาวทำให้ดูไม่จบภายในสองชั่วโมง ตอนโปรโมทหนังส่วนใหญ่คนดูไม่รู้ว่ามามุขนี้เพียงแค่ดูหนังสนุก ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วรู้สึกถึงความยืดเยื้อโดยแทบไม่จำเป็น ก็พอเดาออกตั้งแต่ต้นเรื่องเปิดตัวความชั่วร้ายของโจโฉแบบนิ่ม ๆ อยากรู้นักว่าใครเป็นคนแคสติ้งให้ จางเฟิงอี้มาเล่นเป็นโจโฉ ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูไม่ดุพอสายตาก็ไม่ล่อกแล่กแบบคนขี้ระแวง ส่วนดาราคนอื่นถือว่าผ่านหมด ที่จะต้องติก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ที่เนื้อเรื่องไม่ตรงกับหนังสือที่ปราชญ์แต่งไว้เลย เนื้อเรื่องในหนังให้ตัวละครอยู่รวมกันในเรื่องมีบทบาทครบซึ่งความจริงมีเพียง จูกัดขงเบ้งผู้มีไหวพริบแพรวพราววางผนให้ตนเองเท่านั้นอยู่ด้วยกับซุนกวนและในเรื่องแทบไม่ได้ใช้ความสามารถอะไรให้คนดูได้ประจักษ์เลยเป็นเพียงตัวละครที่ให้เรื่องดำเนินไปเฉย ๆ เท่านั้นสำหรับการเริ่มเรื่องแบบนี้ผมขอยกให้”ทาเคชิ”ผู้นี้เป็นขงเบ้งที่อาภัพสุดได้ขายแค่หน้าตา แต่ก็ไม่อยากมองว่าเป็นเนื้อเรื่องที่วิบัติเพราะการดัดแปลงเนื้อหาให้เป็นหนังนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา อย่างที่เคยเห็นมาแล้วใน “Troy” มหากาพย์อีเลียดที่นำแสดงโดย แบรดพิทต์ ที่ให้ม้าไม้เข้าเมืองทรอยก่อนอะคิลลีสตายซึ่งที่จริงเขาต้องตายก่อน นิยายโบราณอย่างสามก๊กผมคิดว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จัก การจะหยิบมาสร้างหนังต้องทำให้ยิ่งใหญ่เน้นฉากสงครามใช้เล่ห์กลซับซ้อนอย่างที่อ่านมาเรารู้เรื่องหมดหนังก็เลยเปลี่ยนแปลงตัดที่ไม่จำเป็นกับหนังออกเช่น วาทศิลป์ของขงเบ้งที่เอาชนะเหล่าบัฒฑิตอาคันตุกะนับสิบคนของซุนกวน ฉากเล่าปี่โยนเอาเต๊าทิ้งเพื่อเอาใจจูล่ง ฉากเตียวหุยคำรามขู่จนนายกองโจโฉหัวใจวายตกม้าตาย เป็นต้น เหล่านี้เป็นเสน่ห์ตำนานสามก๊กที่แฟนพันธุ์แท้เล่าขานพูดคุยกันเสมอเวอร์ชั่นของจอห์นวูก็ไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบเท่าที่ควรจะเป็น ผมเพียงแต่ยอมรับความพิถีพิถันแนวศิลป์ในการถ่ายทำเน้นสีหน้าผู้แสดงที่ดูเหมือนหนังสือมีชีวิต กราฟฟิคคอมพิวเตอร์ที่เนียนมั่งไม่เนียนมั่งแต่ก็พอจะสู้กับฝรั่งได้แล้วเพราะถูกมองว่าเป็นหนังระดับเอซียจะเทียบหนังไตรภาคอย่าง “ลอร์ดออฟเดอะริง”หรือ “แมทริกซ์” คงไม่ได้ โปรดติดตามตอนต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

เกมเดิมพัน อัจฉริยะ "21"


______เมื่อปี 1998 มีหนังเกี่ยวกับหนุ่มน้อยคนหนึ่งซึ่งจะออกเผชิญโชคที่ลาสเวกัสด้วยตนเองโดยไม่สนใจการเรียนหนังสือ เป็นเพราะเขาค้นพบหลักคณิตศาสตร์ที่จะเอาชนะเกมไพ่นำแสดงโดยแมทเดมอน Rounders (1998) ช่างประสบความสำเร็จมากจนแทบจะต้องถามว่าจะมีภาคต่อรึเปล่าหลายคนรอคอยแต่หนังแนวนี้ค่อนข้างจะยากที่จะสานต่อความสำเร็จสู้เก็บไว้ให้มันคลาสสิคดีกว่า จนกระทั่งปีนี้ เรามีหนังซึ่งใกล้เคียงกันดูเหมือนว่าหนังออกจะคล้ายแต่กลับเนื้อเรื่องปรับเปลี่ยนใหม่และคาดหวังความสำเร็จไว้แค่นิดหน่อยโดยดูจากการนำเสนอแล้วฉับไวขายดาราเก่าอย่าง ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น และ เควิน สเปซี่ย์ ขอแถมเคท บอสเวิร์ธ อีกคนแม้เรื่องนี้จะไม่ค่อยดึงดูดและเซ็กซี่เท่าไรก็พอทำให้หนังดูหายเซ็งเป็นพักสั้น ๆ ได้ หนังไพ่ส่วนใหญ่มักจะเล่นเกม โป๊กเกอร์ แต่หนัง 21 นั้นเล่นไพ่แบล็คแจ็ค ซึ่งทำให้จำนวนตาที่เล่นมีจำนวนมากกว่าและไม่ต้องอาศัยชิงไหวชิงพริบหนัก ๆ จนเกิดอาการหายใจไม่ทั่วท้องในแต่ละเกม หนังก็เลยดูสบาย ๆ เน้นการเล่าเรื่องประสบการณ์ชีวิตที่คิดว่าสุด ๆ แล้วให้อึ้งทึ่งเกินจะเคลิ้มไหว และหนังดูสบายแบบนี้มันจืดสนิทก็ในเมื่อมีหนังอย่าง Danny Ocean ออกมาตั้งสามภาค การวางแผนหักหลังแบบ 21 ก็กลายเป็นหนังเด็กทารกแรกเกิดไปทันที ไม่วายทำให้การรอคอยหนังแนว Rounders หรือภาคต่อของ Maverick ยังคงน่ารอคอยอยู่ต่อไป

ฮีโร่แฝงร่างสุดขอบโลก "Nim’s Island"


______ด้วยคาแร็คเตอร์แปลก ๆ ของตัวละครทั้งสอง สาวน้อยนิม อเล็กซานดร้า และอเล็กซ์โรเวอร์ นำมาผูกเรื่องราวผจญภัยขึ้นมาได้ หนังน่าจะเป็นศูนย์รวมของพวกแปลกแยกมีโลกส่วนตัวใช้ชีวิตอยู่กับจินตนาการอย่างโดดเดี่ยวแต่หนังก็ถ่ายทอดออกมาได้ในด้านดี หนังจะไม่ค่อยสนุกเนื้อเรื่องบางเบา หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับบทบาทแบบโจดี้ฟอสเตอร์ที่เขากลัวที่กว้างจนดูเหมือนเป็นคนบ้า แต่ถ้าเคยดูหนังเรื่อง “Copy Cat” แสดงโดย ซิกเกอร์นี่วีเวอร์ จะทำให้เข้าใจขึ้น หนังกำลังบอกถึงการยอมรับสิ่งที่ตนเองเป็นและต่อสู้กับมัน ก็ในเมื่อในสมองจินตนาการของ อเล็กซานดร้ามีความเป็นนักผจญภัยเต็มเปี่ยมเขาก็น่าจะต้องต่อสู้กับตัวเองเพื่อเอาชนะความกลัวให้ หนูน้อยนิมส์ ก็ต้องเปิดใจกว้างที่จะรับไมตรีจากผู้คนเพราะจริงแล้วหนูน้อยรักการผจญภัยและอยากเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างไม่หวั่นว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม ส่วนที่เหลือก็คือ ความที่ไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่และหน้าตาของ โจดี้ฟอสเตอร์ ก็กลับไปขายความเป็นหนังครอบครัวไม่ออกอีกต่อไปแล้ว ด้วยประการทั้งปวงส่งผลให้หนังแป๊กสนิท

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

เมมโมรี่...รักหลอน "MEMORY"


______พูดได้เลยว่าหนังไทยกำลังรุ่งยิ่งถ้าจัดดารารุ่นเก่ามาไม่ซ้ำหน้าไม่จำเจ ยังไงก็ขายออก ยิ่งหนุ่มอนันดาช่วงนี้ขายดีมากด้วยแล้ว หนังเรื่องนี้เหมือนจะหลอกคนดูตั้งแต่ชื่อเรื่องไปจนถึงฉากเขย่าขวัญเพิ่อเพิ่มความน่าดูเวลาโปรโมทเท่านั้น เพราะประเด็นหลักของหนังมีเพียงเล็กน้อยบวกกับจบแบบหักมุมคาดไม่ถึง “รักหลอน” เป็นเหมือนละครทีวีที่เอามาขึ้นจอใหญ่ไม่ต่างอะไรกับ “แฝด” ที่มาช่าแสดงนำ และ “บอดี้ศพ 19” ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ที่จะมองว่าหนังไทยพัฒนาขึ้นจึงชัดเจนว่าสู้ดูหนังตลกในช่วงเดียวกันสนุกคุ้มค่ากว่า น่าเสียดายที่หนังถ่ายทอดความความผิดปกติทางจิตได้ไม่ชัดเจนกะว่าจะได้มุขใหม่ ผู้กำกับดันเอาฉากไร้สาระอย่างภรรยาของหมอกับฉากโกนหนวดมากลบ หรือฉากที่คนไข้ขย้ำกัดหมอก็แทบใช้ไม่ได้ไม่มีอะไรสำคัญกับหนังเลย หรือจะเอาฉากเลิฟซีนที่ออกจะยาวเป็นพิเศษมาเป็นจุดขายก็ได้แค่ฮือฮาเพียงพักเดียวก็เงียบ ผมเคยเขียนเรื่อง “Bug” ที่ว่าโรคจิตโรคติดต่อ ก็คงชัดเจนขึ้นถ้าดู Memory รักหลอน ว่าการกรอกข้อมูลให้เชื่องมงายของฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งหลงเชื่อและเป็นไปด้วยได้ จุดนี้เองที่ดูน่ากลัวเพราะการดูหนังสยองขวัญ หนังฆาตกรโรคจิตเล่นเกมโหด ๆ บ่อยเข้าสมองก็จะสะสมข้อมูลเหล่านี้จนเป็นรูปความทรงจำปกติ ฉะนั้นเราคนธรรมดาควรสรรหาข้อมูลหลากหลายและเปลี่ยนแนวการรับรู้เพื่อพักสมองซะบ้างอย่าหมกมุ่นอยู่หนังแนวเดียวหรือจดจ่อกับเรื่องโหด ๆ มากไป รักตัวเองจริง ๆ บ้างอย่าให้กลายเป็น รักหลอน ซะเองครับ

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

ดิอาย ดวงตาผี "The Eye"


______หนังยังให้เครดิตกับต้นฉบับดีมากขนาดต้องเอ่ยชื่อก่อนหนังเริ่มว่าจากชื่อเรื่อง “คนเห็นผี” จำได้ว่า “คนเห็นผี” จะมีลูกเล่นก่อนอินโทรมีเงาหลังฉากขาวให้คนตกใจเล่นก่อนแต่เวอร์ชั่นฮอลลีวูดไม่มีอย่างนั้น เนื้อเรื่องก็เริ่มต้นตามต้นฉบับทุกอย่างที่จะไม่ให้ผิดเพี้ยนเท่าที่ทำได้ผมขอยกนิ้วให้ เป็นความพยายามของหนังเกรดเอ “the ring” ที่มีต้นฉบับญี่ปุ่นหนังสายพันธุ์เอเชียที่สร้างชื่อเป็นหนังรีเมกดีที่สุดและสร้างสาวกได้มากที่สุดเพราะสร้างจากนิยายโด่งดัง ก็คงรองจากแฮรี่พอตเตอร์ หนัง The Eye ความจริงหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นหนังไทยแต่สำหรับผมคิดว่าเป็นหนังอ่องกงซะมากกว่า ดาราไทยมีแค่คนเดียวเพียงต้องอาศัยเหตุการณ์จริงรถบรรทุกก๊าซระเบิดในไทยในตอนจบของหนัง ไม่เหมือนกับ Shutter ที่เป็นหนังไทยแน่นอนแล้วก็รีเมกได้ตามต้นฉบับเปี๊ยบเกินไป The Eye ฉบับฮอลลีวูดถ่ายทอดออกมาต่างกับฉบับฮ่องกงไม่ใช่เรื่องเนื้อหาแต่ต่างกันที่ความเป็นหนังชวนสยองซึ่งจะว่าไปผีฉบับเอเซียดูน่ากลัวน่าขนลุกกว่ามากเพราะชาติเอเชียนิยมไหว้ผีชีวิตจึงผูกพันธ์กับผีการใส่รายละเอียดความน่ากลัวทำให้หนังน่าสนใจเป็นที่จับตาของฮอลลีวูดแต่ไฉนในเมื่อซื้อมาทั้งเรื่องก็น่าจะทำให้หนังดูน่ากลัวขึ้นหน่อย ตรงจุดนี้ผมถึอว่าห่างไกลความสำเร็จที่จะเทียบชั้นกับ The ring มาก ๆ และตอนจบของหนังเป็นเหมือนการได้ปลดปล่อยของพี่น้องแปงที่ยกเรื่องจริงที่มีรถก๊าซระเบิดจนมีคนตายจำนวนมากมาเปลี่ยนแปลงไม่ต้องให้ ผีลูกตาคาใจอยู่ว่าไม่ได้ช่วยใครเลย หนังจึงจบอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง ผิดไปจากหนังสยองขวัญอย่างที่ควรจะเป็น The Eye ถือเป็นหนังเรื่องแรกที่ที่พูดถึงผลกระทบของคนที่มองเห็นผี เรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับคนเห็นผีก็ได้แก่ Sixth sense และ Constantine ซึ่งหนังทั้งสองเรื่องน่าสนใจตรงที่เด็กน้อยและหนุ่มคีอานูรีฟใช้ความประโยชน์จากความเป็นคนเห็นผีดำเนินชีวิตต่อไม่ได้หนีปัญหามองภาพผีจนหวาดกลัวไม่กล้ามีลูกตา และไม่สนใจจะมองโลกอันสวยงามใบนี้ ก็อย่างว่า สาวซิดนี่ย์เป็นผู้หญิงธรรดาที่ใช้ชีวิตแบบมองไม่เห็นจนเคยชินและมีความสุขดีอยู่แล้วนี่ ไม่แน่ใจว่า หนังจบแบบแฮปปี้อย่างนี้แล้วจะมีภาคต่อรึเปล่าถ้ามีก็คงเปลี่ยนเป็นแนวสยองขวัญให้สมเป็นต้นตำรับคนเห็นผี ของจริง

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

โบฟอร์ท "Beaufort"


______หนังจากอิสราเอลที่ได้รับรางวัลออสการ์ปี 2007 และจัดจำหน่ายทั่วโลกโดยฮอลลีวูด เป็นหนังที่ใช้ได้เลย แม้เรา ๆ จะไม่เคยชินกับหนังดราม่าในบรรยากาศสงครามแบบนี้แต่เวทีรางวัลส่วนใหญ่มักจะให้เครดิตกับหนังต่างประเทศอย่าง สเปน ฝรั่งเศส อิตาลี ล่าสุดก็หันมามองผู้กำกับแถบเอเชียเยอะขึ้น ส่วนใหญ่หนังที่ถูกจับตามองก็มักเป็นหนังดราม่าที่เหมาะสำหรับคนนอนไม่หลับดู (จะได้นอนหลับไม่ต้องใช้ยาช่วย) เป็นเรื่องเลวร้ายของการที่ต้องสูญเสียดินแดนของอิสราเอลบางส่วนให้กับเลบานอน ปัญหาการเมืองมีทุกประเทศทั่วโลก ผู้รับกรรมก็มักเป็นประชาชนและทหาร หนังให้มุมมองของทหารหน่วยสุดท้ายที่ต้องทนต่อแรงกดดัน ห่าระเบิดที่เพียงโยนมาเล่น ๆ ก่อนจะต้องทิ้งป้อม “โบฟอร์ท” งานนี้แน่นอนพี่ใหญ่อย่างอเมริกามีเอี่ยวคอยช่วยด้านการทหารอยู่ หนังไม่ได้เน้นฉากรบแต่เน้นเหตุการณ์ที่ต้องถูกกดดันสิบกว่าวันที่ต้องทนอยู่ มีทั้งเสียใจต่อเพื่อนที่ล้มตายทีละคน เสียใจต่อดินแดนที่จะถูกลบออกจากแผนที่ประเทศ ความรู้สึกที่ต้องถอนธงออกจากป้อม แต่ก็ดีใจแทบบ้าที่จะได้ไปพ้น ๆ กับแดนนรกที่อาจทำให้พวกเขาตายได้ทุกเมื่อ การแสดงดูเป็นละครเอามาก ๆ ไม่ค่อยเหมือนหนังฮฮลลีวูดไม่มีอะไรซับซ้อนหักมุมให้เห็นมีแต่บทพูดที่ชวนเจ็บปวดใจของผู้นำอายุน้อยที่สับสนระหว่างรักษ์ชีวิตดีหรือรักษ์แผ่นดินดี หวนมองบ้านเมืองเราที่กำลังจะสูญเสียดินแดนบางส่วนเพราะเหตุจากการเมือง แม้ไม่มีสงคราม(เพราะเราต้องการหลีกเลี่ยง) แต่มันก็ชวนให้ต้องคิดย้อนหลังว่า ที่จริงแล้วมันควรหรือไม่ควรที่เราจะคิดและแสดงออกว่ายอมเสียเลือดเนื้อแลกหรือแค่พูดปาว ๆ ว่าไม่ยอมกับสิ่งที่เรารู้แค่คลุมเครือว่าเป็นดินแดนของเรารึเปล่า? เอาล่ะ ลองมาดูหนังกันก่อน “โบฟอร์ท” อาจจะบอกได้ว่าจิตใจของผู้ที่กำลังสูญเสียดินแดนไปจริง ๆ นั้นมันสะกิดเราได้คิดอะไรซักนิดรึเปล่า?

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

คานธี "Gandhi"


______ใครบ้างไม่รู้จักประวัติการต่อสู้ขององค์มหาตมะผู้นี้ ท่านถือเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ที่ใช้ความอหิงสาได้ถูกที่ถูกทางเป็นที่สุดแม้จะประสบความสำเร็จในการเพียรพยายามต่อสู้ด้วยระยะเวลานานตราบนั้นหลายสิบปีผลที่ได้กลับไม่ใช่ชัยชนะที่นำความสุขสงบอย่างที่คิดไว้ หนังเรื่องนี้ต้องยกขึ้นหิ้งไว้เลยว่าทำได้สมบูรณ์ที่สุดในยุคนั้นและยากนักจะรีเมกใหม่ให้สมบูรณ์ได้อีกในยุคนี้ และ “เบนคิงสลี่ย์” เองก็จะไม่ได้รับบทดีอย่างนี้อีกต่อไปแล้ว (แต่บท ฮิทซัคสเติร์นใน ชิลเลอร์ลิสต์ ก็น่าชื่นชมมาก) หนังลงทุนถ่ายทำและฉายยาวกว่าสามชั่วโมงซึ่งช่วงปี 1980 ยังถือว่าขายออกอยู่ด้วยช่วงเศรษฐกิจอันตกต่ำคนมีเวลาพักผ่อนถมเถไม่ค่อยมีงานการทำ หนังถ่ายทอดเรื่องราวการต่อสู้ด้วยจิตอันสงบนิ่งและให้อภัยต่อผู้กระทำตอบเสมอแม้ตัวเองต้องถูกจองจำกี่หนที่ครั้งก็ยังยืนหยัดความตั้งใจ ที่น่าชื่นชมที่สุดคือ อินเดียเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่แต่มหาตมะผู้นี้ยังใช้เท้าเปล่าเดินเพื่อเชิญประชาชนร่วมเดินทางมาชุมนุมประท้วงยิ่งเดินไกลก็ยิ่งมีผู้ร่วมชุมนุมมากจนทั่วอินเดียคงกินพื้นที่ประมาณไม่ได้ว่ากี่ร้อยกี่พันกิโลเมตร หนังทำให้เราได้เห็นภาพตัวประกอบที่แสดงนั้นแสดงร่วมได้ดีมีชีวิตชีวาเหมือนได้ร่วมเหตุการณ์นั้นจริง ๆ ที่อุตส่าห์ยกหนังเรื่องนี้ลงจากหิ้งมาเขียนเพราะผมกำลังอยากจะเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปัจจุบันของไทย ที่เรามีกลุ่มชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลและประกาศว่าทำตามอย่างอหิงสา เวลาผ่านไปเนิ่นนานผมมองย้อนไปในหนังเห็นภาพความแตกแยกที่เป็นมรดกอันอัปยศที่อังกฤษมอบให้อินเดียคือแบ่งประเทศอินเดียออกจากกันและมอบผลประโยชน์ให้กับกลุ่มที่นิยมความรุนแรงที่สุดเพื่อห้ำหั่นเข่นฆ่ากับกลุ่มอื่น ๆ จนกระทั่งท่านคานธีต้องสังเวยชีวิตตนเพราะความแตกแยกที่เกิดขึ้นนั้น เนื่องจากอังกฤษฉลาดพอและทำได้สำเร็จผมจึงหวั่นกลัวเหลือเกินกับความแตกแยกที่อาจจะเป็นมรดกอัปยศมาซ้ำรอยให้ประเทศ สุดท้าย คานธีก็ต้องจบชีวิตเพราะความแตกแยกครั้งนี้ หวังว่าผมจะคิดมากไปเองนะครับ หนัง คานธี ทำให้ผมสะอื้นด้วยความประทับใจได้ แต่อย่าให้เหตุการณ์ที่กำลังเกิดต้องทำให้ใคร ๆ ต้องเสียน้ำตากันอีกเลย

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

นายและนางคู่พิฆาต "Mr. & Mrs. Smith"


______มีข่าวแว่ว ๆ อย่างสะท้านโลกว่าดาราคู่ขวัญพระนางของเรื่องได้พบรักกันจนต้องแก้ข่าวไปมากว่าหนังจะได้ฉายในที่สุดก็อยู่กินมีลูกด้วยกันอย่างไม่ค่อยจะเปิดเผยต่อสาธารณชนแต่ก็มีผลงานหนังให้ดูติดต่อกันตลอดทั้งปี และเป็นอีกตำนานหนึ่งของคู่ขวัญแห่งฮอลลีวูดเพราะทั้งคู่กลายเป็นคู่ชีวิตจริง แต่เดิมหนังอย่าง Bonnie And Clyde(1967)ถือเป็นหนังคู่ขวัญที่ยกสุดยอดดาราคู่พระนางมาประชันกันในยุคก่อน Mr. & Mrs. Smith (2005)สำหรับผมถือว่าเทียบได้ในเรื่องนี้ ว่ากันถึงหนังเรื่องนี้เป็นหนังครอบครัวสองผัวเมียนักฆ่าที่ปกปิดอาชีพตัวเองซึ่งกันและกันมาตลอดตั้งแต่แต่งงานจนกระทั่งความแตกเพราะความเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของทั้งคู่ทำให้เสี่ยงต่อองค์กรทั้งสองจึงต้องมาห้ำหั่นกันเองเพราะความไม่ไว้วางใจกัน ผมมองว่าเป็นหนังแอ็คชั่นชั้นดีเกรดเอทีเดียวลงทุนสูงเนื้อหาเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนตื่นเต้นหวาดเสียวยิงกันกระสุนพล่านเลือดสาดแต่ยังทำให้อารมณ์ปกติไม่ได้ขายความรุนแรงดูอย่างฉากยิงกระหน่ำกันจะมีเพลงเพราะ ๆ มาประกอบทำให้ดูคล้ายหนังจอห์นวูบ้างเหมือนกัน มีบทสนทนาปะทะคารมเชือดเฉือนประสาผัวเมียฟังเหมือนหนังเขย่าขวัญแต่เพราะรู้แนวของหนังจึงทำให้ดูขำมากกว่า ชื่อสมิทธ์ก็แสดงออกถึงความเป็นยอดฝีมือ ชื่อจอห์นและเจนก็หมายถึงหนุ่มสาวนิรนาม (จอห์นโดว์และเจนโดว์) แค่ชื่อก็แสดงออกถึงการปกปิด มันก็ไม่ต่างกับสังคมปัจจุบันแบบอุปมาอุปไมยการปกปิดซึ่งกันและกันไม่หันหน้าเข้าหากันมีความเป็นไปได้ถึงขั้นแต่งงานกันก่อนเพราะความรักความหลงส่วนสตินั้นมาทีหลัง ขึ้นอยู่กับว่าจะพยายามเข้าหากันเพื่อเคลียร์แล้วเริ่มต้นดำเนินชีวิตคู่กันต่อรึเปล่า ความเป็น แบรดพิทต์และแองเจลลิน่าโจลี่ ที่มักแสดงออกถึงความเป็นคนแปลกแยกไม่ใช่ดาราบ้าเห่อและก็ปรารถนาให้คนทั้งโลกเข้าใจกันโดยเฉพาะสถาบันที่เล็กที่สุดอย่างสถาบันครอบครัว หนังแสดงออกถึงความที่สามีภรรยาในสังคมปัจจุบันน่าจะต้องปรึกษาจิตแพทย์และระบายความในใจออกมาบ้างก็มักจะต้องเพิ่มฉากนี้ขึ้นมา นัยที่แฝงนั้นยังมีอีกกว้างแต่ผมคิดว่าคนที่ดูหนังบ่อย ๆ น่าจะเข้าใจได้ดีเพราะหนังค่อนข้างจะส่วนตัวสำหรับเขาทั้งสองที่จะบ่งบอกว่าเกลียดความรุนแรงแค่ไหน (และยังรักเด็ก ๆ อีกด้วย)

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

คนคลั่ง ฆ่า สั่ง ตาย "death sentence"


______เป็นหนังใหม่ของ เควินเบคอน ซึ่งตอนนี้เขาดูเป็นหนุ่มใหญ่มากหนังขายความรุนแรงเป็นหลักสะท้อนชีวิตพ่อผู้มีเลือดแค้นตอบโต้โจรร้ายอันธพาลที่มาทำร้ายลูกชายคนโตถึงชีวิต เควินเบคอน ในบท นิค แบกปืนพร้อมกระสุนจนเต็มกระเป๋าพร้อมลุยผู้ร้ายแบบไม่กลัวตายไม่มีอะไรจะเสีย ฟังดูดีนะครับหนังน่าจะมันสุด ๆ แต่หนังเรื่องนี้กลับต้องดูพร้อมน้ำตาที่ให้กับชายผู้เป็นพ่อที่สูญเสียครอบครัวไปจนหมดกับการตัดสินใจที่คิดว่าน่าจะ “ผิด” ที่เขาไปแก้แค้นใช้มีดแทงคู่กรณีที่ฆ่าลูกชายตน หนังคงตั้งใจชี้ให้เห็นผลของการกระทำของทั้งสองฝ่าย ดูหนังแล้วผมต้องกลับมาคิดถึงข่าวหลาย ๆ ข่าวของพ่อที่สูญเสียลูกต่อหน้าต่อตา อย่างเช่น ข่าวที่วัยรุ่นคะนองขว้างหินใส่รถยนต์จนโดนหัวเด็กเสียชีวิตต่อหน้าผู้เป็นพ่อ เป็นใครก็แค้นที่อยากเอาตัวคนผิดมาลงโทษให้สาสม หนังจึงมีความหมายแค่ได้ดูแล้วเหมือนได้ระบายออกและเนื้อหาควรจะชี้นำให้ส่อไปในทางไม่ถูกไม่ควรให้มาก ๆ แม้ในหนังผมจะรู้สึกว่าบทบาทของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นแค่เสือกระดาษที่ได้แต่ขู่ให้กลัวเฉย ๆ แต่ไม่ได้ป้องกันชีวิตทรัพย์สินหรือเอาผิดใครได้ซักคน แม้หนัง death sentence จะไม่ใช่หนังชั้นดีแต่ก็มีแนวทางเดียวกับหนัง The Brave one และไม่นานจะมีต้นตำรับอย่าง Death Wish มาให้ดูกันในยุคนี้ ดูเหมือนว่า หนังแนวนี้จะขาดไม่ได้เลยนะในสังคมปัจจุบันแบบนี้

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

สืบลับเค้นปมอันตราย "Gone Baby Gone"


______ยอมรับว่าเป็นหนังที่ใช้ได้เลยในเกรดบี หนังใหม่กำกับเองของเบนเอฟเฟล็กซ์ ที่ค่อนข้างจะรวมดาราใหญ่ไว้หลายคนดูท่าทางมีหลายคนคอยเอาใจช่วยไม่ให้เบนตกงาน ยิ่งงานนี้ผมไม่มั่นใจว่าเบนเป็นญาติฝ่ายไหนกับเคซี่บังเอิญไม่ได้ตามเรื่อง รู้แต่บท “โรเบิร์ตฟอร์ด” ผู้สังหารเจสซี่เจมส์นั้นชวนประทับใจมาก การเปิดตัวด้วยหนังแนว systery/Suspense ถือว่าน่าสนใจเพราะเรื่องจะต้องดำเนินกับตัวละครหลากหลายพร้อมบทสนทนา ชกต่อย โต้เถียง ตีหน้าเศร้า กวนประสาท ราวกับว่าเป็นการทดสอบบทสัมภาษณ์ที่ดูแข็ง ๆ ไปหน่อย ดูไปเรื่อย ๆ ทำให้ผมนึกถึงงานกำกับของปู่คลิ้นท์อีสต์วูดเรื่องหลัง ๆ ที่ละเมียดละไมกว่า เบนจะต้องมีหนังออกมาอีกเพื่อโยนหินถามทาง ฉีกแนวอีกซักสองเรื่องจึงจะเรียกว่าเป็นงาน วกกลับเข้ามาในหนัง เนื้อเรื่องแบบนี้อาจจะทำให้ตำรวจถูกมองว่าหมดสภาพในการคลุกคลีกับกับคนท้องถิ่นพื่อสืบคดี น่าสนใจที่นักสืบเอกชนจะทำงานในท้องถิ่นเราจะไม่ค่อยเห็นนักทีมีอยู่ก็คงเป็นเรื่อง “แช็พ” เล่นรีเมกใหม่โดย “แซมมวลแอลแจ็คสัน” หนังมันแป๊กสนิทจนไม่มีภาคต่ออย่างแน่นอน Gone Baby Gone กับคดียอดนิยมเช่น ลักพาตัวเรียกค่าไถ่ที่ดูธรรมดามันค่อย ๆ บานปลายไปอย่างเหลือเชื่อไปหน่อยแต่หนังก็คือหนัง ดูหนังจบผมถึงจะจับแนวเบนเอฟเฟล็กซ์อยู่เบื้องหลังหนังดี ๆ ที่ไม่ดังต่อไป ถ้าใครเคยดู “HollywoodLand” แล้วเกิดชอบขึ้นมาก็จะรู้สึกว่า Gone Baby Gone มีดีขึ้นอีกขั้นโดยที่เบนไม่ต้องแสดงเองเพราะเบนกำกับเพื่อแก้ไขเองกับมือ ถ้าเรื่องจริงมันค่อย ๆ ยุ่งยากแบบนี้มีหวังตำรวจไทยเป็นอัมพาตกันหมด ส่วนนักสืบเอกชนที่จะมาเป็นพระเอกในชีวิตจริง ก็คงยังไม่ถึงกำหนดคลอดในโลกที่ช่างเลวร้ายอย่างนี้ สรุปแล้ว เคซี่เอฟเฟล็กซ์ทำผมน้ำตาไหลตอนหนังจบอีกแล้ว (จนได้สิเอ้า..)

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

รหัสโจรกรรม สวย ร้อน อันตราย “Femme fatale” (2002) ปะทะ “Déjà vu” (2006)


______ผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบผลงานของ ไบรอันเดอพัลมา ขนาดเจอกี่เรื่องดูเรียบ จนกระทั่งไม่กี่วันเกิดเหตุการณ์ภาพซ้ำซ้อนอย่างที่เรียกว่า เดจาวู กับผมก็นึกถึงหนัง Déjà vu และหยิบหนังเก่าอย่าง Femme Fatale (ชื่อหนังภาษาฝรั่งเศสแต่เป็นหนังฮอลลีวูด) มาดูอีกเรื่อง เพราะผมคิดเสมอว่า คำจำกัดความ เดจาวู น่าจะตรงกับหนัง Femme Fatale มากกว่า แม้หนังสองเรื่องจะคนละแนวกันก็ตาม แต่ภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับเราจนเรารู้สึกคุ้น ๆ ว่าเคยเห็นเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนและเหตุการณ์ต่อจากนี้มันก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่ มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนแน่ ๆ หรือรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เราเคยฝันเห็นมาก่อนทำนองนี้ สำหรับหนังทั้งสองเรื่องก็ได้ทำให้มีโอกาสในการแก้ไขอดีตภาพเหตุการณ์ให้มันจบลงด้วยดีเหมือนกัน เพียงแต่ต่างกันที่หนัง Femme Fatale ออกจะคลาสสิคไตล์หนังยุโรปภาพสวยโรแมนติคเซ็กซี่เย้ายวน ส่วน Déjà vu ถือว่าเป็นหนังแอคชั่นชั้นทริลเลอร์ดีเรื่องหนึ่งที่บทตัวเอกเหมาะกับ แดนเซลวอชิงตันมาก ๆ ยังมีหนังอีกเรื่องที่พูดถึงภาพเหตุการณ์ซ้ำซ้อน คือ The matrix หนังเรื่องนี้ถ้าจะวิจารณ์กันละก้อยาวเป็นสิบ ๆ หน้าเลย วันนี้ก็เลยเป็นอีกวันที่ผมไม่ได้หยิบปังตอสับหนังเรื่องไหนเป็นชิ้น ๆ ทีครับท่านผู้ชม

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

ห่าล้างโลก "Dooms day"


______เป็นหนังแอคชั่นที่จับฉ่ายที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยละครับ สาว Rhona Mitra คนสวยที่จะมาแทนที่สาวเคต ในหนังภาคต่ออย่าง Under world แม้หนังจะมันสนุกและมีเนื้อหาดีกว่าไม่ใช่จะเป็นหนังไวรัสซอมบี้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ โครงหลักของหนังทำให้ผมนึกถือ Escape From Newyork ที่มีโครงการจะรีเมคอีกแล้ว (เพิ่งรีเมคเป็น L.A.ไปหมาด ๆ ) เพราะไวรัสไม่ใช่ประเด็นหลักของหนังแต่เป็นตัวการสำตัญในการดึงด้านมืดในจิตใจคน สำหรับผมแล้วโครงหลักคือ ผู้นำของโลกที่ถูกแบ่งไว้สามโลก คือ โลกปัจจุบันที่มีผู้นำยืดถึงกฏหมายและใช้ประโยชน์จากกฏหมายในการครองอำนาจโดยเฉพาะการฆ่าอย่างไร้มนุษยธรรมแล้วยังอ้างกฎหมายในการคุ้มครองก็สะใจอยู่ถ้าตัวเขาเองโดนไวรัสเข้าก็ต้องเสียอำนาจไปทันทีหนังชี้ให้เห็นแล้วว่าใครที่ยืนอยู่ตำแหน่งนี้จิตใจก็ไม่แตกต่างกันเท่าไรผู้นำประเทศสามารถสานต่อความชั่วได้เสมอ โลกที่สองเป็นโลกปัจจุบันที่มีผู้นำบ้าเลือดอาศัยความโหดเหี้ยมมอมเมาให้หลงไปกับความไร้สาระชีวิตมีแต่การทำตามใจในหนังก็เป็นถิ่นที่อยู่ของพวกมีภูมิคุ้มกันไว้รัสที่แสดงความเป็นผู้นำโดยการกินเนื้อมนุษย์ราวกับพวกคลั่งลัทธิบ้าบอโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงผู้นำนั้นไม่ยากกฎหมู่อยู่เหนือกฎททั้งปวงมีความโหดร้ายกาจกว่าเชื้อไวรัสซะอีกนี่คือโลกที่คนเราปัจจุบันกำลังเข้าใกล้มันทุกที ส่วนโลกสุดท้ายเป็นโลกที่ย้อนกลับไปสมัยที่ยังไม่มีกฎหมายที่ผู้นำมีความเด็ดขาดอำนาจสูงส่งราวเทพเจ้าตัดสินความเป็นความตายแค่คำพูด มองโลกทั้งสามยากนักที่จะตัดสินว่าในเมื่อคนเรามีลมหายใจอยู่เราควรจะอยู่ในโลกไหนกันแน่

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

หนุ่มฟุ้ง สาวเฟี้ยว เปรี้ยวรักที่เวกัส “What Happens In Vegas”


______ผมเกือบมองข้ามความสำคัญของหนังเรื่องนี้ไป พอได้ดูจนจบก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าคิดอีกเรื่องกับสังคมปัจจุบันที่น่าเสียดสีให้สนุกสนาน คู่รักที่ต้องแต่งงานกันโดยไม่พิจารณาให้ดีก่อนมีถมเถ ไม่ต่างอะไรกับตัวละครที่แต่งงานกันขณะที่เมามายไร้สติ ก็อาจจะต้องรับเคราะห์เมื่อคิดได้แล้วอยากจะแยกทางกัน หนังตั้งตัวแปรไว้ก็คือ เงินรางวัลแจ็คพอตสามล้านดอลล่าร์เป็นตัวแปรที่น่าสนใจในการผูกให้คู่ชีวิตกำมะลอยอมทนอยู่ด้วยกัน แต่ในชีวิตจริงคงไม่มีตัวแปรดี ๆ อย่างนี้แน่มันก็คล้ายอมตะละครน้ำเน่าไทยหลาย ๆ เรื่องที่หลังจากเรียนรู้ซึ่งกันและกันเกิดความเข้าใจความรักมาทีหลังก็จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง เนื้อเรื่องนั้นแสนจะธรรมดา แต่ดารานี่สิผมจะพิพากษาให้เละไปเลย เริ่มจากหนู่มกฤษณ์ เอ้ย! หนุ่มแอชตั้นคุทเชอร์ (จำผิดไปได้ไงนึกว่าเด็กมาช่า) เขาเคยแสดงหนังอย่าง Dude, Where’s My car? ที่ดูเขาออกจะบ้าสุด ๆ บทน่าจะคล้าย ๆ กับ My Boss’s Daughter ที่ค่อนข้างจะบ้าแต่ก็น่าดูขึ้นมาอีกเขาน่าจะแสดงบทของหนุ่มอยากโสดได้ลื่นกว่านี้หรือว่าความผิดน่าจะไปลงที่ คาเมร่อนดีแอช ที่บทเธอเป็นสาวเพอร์เฟคที่อยากจะมีครอบครัวแต่เมื่อมาเจอช่วงเวลาปลดปล่อยในเวกันอย่างนี้พฤติกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นสาวแสบเธอก็น่าจะทำได้ดีอย่าง My bestfriend’s wedding ที่ดูไร้เดียงสาน่ารักแฝงความร้ายนิด ๆ แต่ไม่ต้องบ้าอย่างบท แมรี่ในมะรุมมะตุ้มรุมรัก ที่ดูไร้เดียงสาเกินไป แต่ผมอยากให้บทเธอตลกกว่านี้ พักหลังไม่ค่อยมีหนังของเธอให้ดูพอได้ดูเรื่องนี้ก็รู้สึกผิดหวัง อีกคนที่น่าผิดหวังอย่างสุด ๆ ก็คือ ควีนลาทีฟาห์ รายนี้รับเชิญมาจริง ๆ ได้พูดแต่ไม่กี่คำในหนังไม่ได้ผสมโรงกับใคร ทำให้เครดิตชื่อดาราก่อนดูหนังทำเสียความรู้สึกจนได้

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

สปีดเรซเซอร์ "Speed Racer"


______สองพี่น้อง วาโชสกี้ ผู้กำกับหนังไตรภาค The Matrix กับผลงานชิ้นต่อมาที่มีโครงการสร้างอยู่นานแล้ว สปีดเรซเซอร์ แล้วใครจะรู้บ้างสปีดเรซเซอร์ไมดูมันแหม่ง ๆ เหมือนการ์ตูนนัก ก็เพราะเป็นการ์ตูนส์ญี่ปุ่นเมื่อราวสามสิบกว่าปีก่อนถือเป็นต้นตำรับการ์ตูนฉายทางทีวียังคงคอลเลคชั่นทางเสื้อผ้าการแต่งตัวยุค 60 และเพิ่มสีสันฉูดฉาดสุด ๆ เนื้อหาของหนังถือว่าค่อนข้างทันสมัยเอี่ยมอ่องไม่ใช่แค่แข่งรถเอาชัยชนะธรรมดาหรือแข่งขันเอาชนะใจตัวเองอย่างหนังอนิเมชั่นของดีสนี่ย์ “คาร์” ถือว่าผลงานคนละเกรด แต่รายได้คนละเรื่อง พี่น้องวาโชสกี้นิยมร่วมงานกับผู้กำกับและนักแสดงชาวเอเซีย คราวก่อนมีญี่ปุ่น ฮ่องกงไม่น้อย เที่ยวนี้ลากเอา Rain นักร้องหน้าตี๋ซูเปอร์สตาร์จากเกาหลีมาเสริมแฟน ๆ ชาวเอเชียเพิ่มอีก ฉากเปิดตัวหนุ่มเรนสภาพสะบักสะบอมแทนที่สาว ๆ จะกรี๊ดเพราะความหล่อแต่กลับกรี๊ดที่หนุ่มเรนหน้าบวมซะหมดหล่อเป็นที่น่าผิดหวังของแฟน ๆ เกาหลีมากแทนที่ความนิยมเรนที่ไม่ค่อยห่อแต่เท่ห์อย่างเดียวจะเพิ่มเพราะหนังเรื่องนี้ฉายกลับทำให้เงียบฉี่ไปเฉย ๆ ขนาดแฟน ๆ ชาวไทยที่เห่อเรนยังเฉย ๆ ยิ่งทำให้ผมข้องใจ ไหงไม่เลือกเอา เจโช จากไต้หวันที่น่าจะมีคาแร็คเตอร์เป็นนักแข่งมากกว่าเพราะมีผลงานจากหนังการ์ตูนเวอร์ชั่นภาพยนตร์มาแล้วฝีมือกังฟูก็ใช้ได้เล่นหนังใหญ่คู่โจวเหวินฟะมากแล้วด้วยผมถือว่าสองพี่น้องเขาเลือกผิดหรือไม่ก็ไม่มีสิทธิ์เลือก ดาราคนอื่น ๆ อย่าง จอห์นกู๊ดแมน คริสติน่าริชชี่ ก็มีผลงานยอดนิยมอย่าง พลิ๊นสโตน และ อดัมแฟมิลี่ ตามลำดับล้วนแต่เป็นดาราที่ไม่ค่อยชูโรงในยุคนี้ สปีดเรซเซอร์ถือว่าผลาญเงินทุนของวอเนอร์ไปมหาศาลที่ว่าผลาญเพราะผลตอบแทนทั่วโลกได้กลับมาแทบไม่คุ้มต่างกับ แมททริกซ์ลิบลับ ที่จริงแล้วส่วนที่ทำให้รายได้หดหายน่าจะเป็นเพราะความผิดหวังของแฟนผลงานมากกว่าเพราะหนังที่รอคอยมันไม่ใช่แนวปรัชญาบวกแอคชั่นมัน ๆ ฉบับโลกไซเบอร์ ผมเชื่อว่าถ้าหากหนังสปีดเรซเซอร์เป็นผลงานของผู้กำกับหนังที่ถนัดทำหนังแนวครอบครัวซักคนหนังอาจทำรายได้สูงกระฉูดก็ได้ แต่เนื้อเรื่องเชย ๆ ที่นำมาปัดฝุ่นแบบนี้ต้องมีใจรักจริงถึงจะทำ คราวนี้ผมถือว่า ลาร์รี่และแอนดี้วาโชสกี้ ทำสำเร็จ แต่ผู้ที่พลาดอย่างแรงกับโปรเจ็คนี้น่าจะเป็น วอเนอร์บราเธอร์ สงสัยกำลังมัวเห่อ โปรเจ็คใหญ่อย่าง แฮรี่พอตเตอร์ ซะจนลืมใส่ใจหนังเรื่องอื่นซะละมั้ง อ้อ! ที่ผมชอบมาก คือ การฉลองถ้วยด้วยนมสด แทนแชมเปญนี่ อึ้งสุด ๆ เลย คงกลัวจะไม่กลายเป็นหนังครอบครัวจนเกินไปแระ