วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เฮลล์บอย 2 ฮีโร่พันธุ์นรก "Hellboy II: The Golden Army"

______เห็นแก่ความที่เคยเขียน Pan’s Labyrinth จึงต้องมีเขียนถึงฮีโร่อีกตน เป็นฮีโร่จากนรกที่สร้างสรรค์มาจากการ์ตูน ของไมก์ มิกโนล่า มากำกับเป็นภาพยนตร์โดย กีลเลอร์โม่ เดล โทโร่ ที่เป็นผู้กำกับเดียวกับหนังเรื่อง Pan’s Labyrinth ที่สร้างความยอดเยี่ยมมาแล้ว แถมยังเป็นผู้กำกับแนวสัตว์ประหลาดสุดบรรเจิดแต่ละตัวใน Hellboy มาตั้งแต่ภาคแรกหนังออกจะแอ็คชั่นแฟนตาซีได้น่าดูชมราวกับ MIB ที่ทำงานเป็นองค์กรเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติและคอยเก็บกวาดสัตว์ประหลาดแตกแถว ในภาคแรกนั้นดูธรรมดาไม่ค่อยมีอะไรพิเศษเป็นเพียงแค่การ์ตูนมาทำหนังส่วนดารานั้นเองน่าจะเซอร์ไพร์สคนดูที่สุด ดารารุ่นใหญ่อย่าง รอนเพิร์ลแมน ที่มีเค้าหน้าคางใหญ่เหมาะจะรับบทอย่างยิ่งที่จริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งคางแท้ ๆ ก็ได้ เอฟเฟคใบหน้าทำได้ถมเถไป แต่รอนเพิร์ลแมนก็ไม่ได้ขี้เหร่เท่าไร อายุก็มากแต่มักจะรับบทที่น้อยกว่าอายุจริงเสมอเขาเองก็ไม่เคยขึ้นแท่นดารานำระดับพระเอกกับหนังฟอร์มใหญ่มาก่อน สำหรับบทบุตรแห่งซานตานผู้นี้จึงเป็นที่ยอมรับได้ว่าเขาเหมาะจะได้รับ ที่ผมสงสัยกว่าคือบท ลิซเซอร์แมน จึงเลือกเอา เซลม่าแบลร์ ดูภาพเธอเป็นดาราค่าตัวถูกไม่ค่อยได้หนังดึงดูดคนดูซักเท่าไร ไม่ได้ขายความเซ็กซี่ ไม่ได้ขายความเป็นฮีโร่หญิง แล้วหนังเองก็ไม่ได้มีส่วนช่วยขยับให้เธอโด่งดังขึ้นเลย นั่นคงไม่ใช่ส่วนสำคัญของหนังเช่นเดียวกัน Hellboy II มีความโดดเด่นมากในเรื่องเนื้อหา ภาพปิศาจในเรื่องและบทแอ็คชั่นต่อสู้ของเจ้าชายลูอาดา (ลุคกอสส์) ร่ายรำได้เหมือนมวยจีนท่วงท่าสวยงามโดดเด่นมาก ลุคกอสส์เองก็ร่วมงานกับรอนเพิร์ลแมนและผู้กำกับมาก่อนใน Blade2 จึงแสดงได้เข้าขาดี หนัง Hellboy II นอกจากจะดำเนินเรื่องง่าย ๆ แค่ภารกิจหยุดยั้งการตามหามงกุฎทองคำที่จะให้อำนาจในการควบคุมกองทัพหุ่นเกราะทองคำแก่เจ้าชายลูอาดา ผู้ซึ่งเบื่อหน่ายมนุษย์ผู้ครอบครองโลก เจ้าชายลูอาดาฉีกสัญญาที่บิดาของตนมีต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวลว่าจะใช้ชีวิตแบ่งออกไปอย่างอิสระ แต่มนุษย์ต่างหากที่ไม่รู้จักพอ หลังสงครามแบ่งแยกเผ่าพันธุ์สัญญาที่มนุษย์ให้ไว้มันไร้ซึ่งความหมาย ในเรื่องก็ได้บอกเล่าเหตุผลโดยกษัตรย์บาเลอร์แห่งโลกอัศจรรย์ ว่าธรรมชาติของมนุษย์ไม่รักษาสัญญา ไม่รู้จักพอ โลภมากไม่สิ้นสุด แม้เจ้าชายลูอาดาจะโน้มน้าวเฮลบอยดู แต่เขาก็ตัดสินใจจะให้มนุษย์เป็นผู้ถือครองโลกด้วยการกำราบอมนุษย์ทั้งหลายที่จะรุกรานชีวิตมนุษย์ หนังฉีกความรู้สึกเดิม ๆ ที่คนดูมีต่อสัตว์ประหลาดรุกรานโลกว่าเป้าหมายเพียงแค่ยึดครองโลกให้ตนเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่หนังใส่ไอเดียที่เป็นสาระมากกว่านั้น ถ้าอมนุษย์เหล่านั้นถือครองโลกนี้มาก่อนมนุษย์ล่ะ? ทุกวันนี้เราเองต่างหากที่เป็นผู้รุกรานแล้วยังมีหน้ามาสร้างหน่วยคุ้มครองป้องกันภัยจากอมนุษย์โบราณเหล่านั้นขี้ตู่ขนาดบอกว่าพวกปีศาจจะมายึดครองโลกของตน เป็นสิ่งที่น่าคิด สำหรับผู้กำกับแล้วจินตนาการที่ถ่ายทอดออกมาไม่ใช่แค่ผิวเผิน ในช่วงแรกของหนังที่จอ์หนเฮิร์ตรับเชิญมาแสดงสั้น ๆ บทเดิมศาสตราจารย์บรูมขณะยังมีชีวิตอยู่ ได้สอนสั่งเล่านิทานที่จะเป็นภารให้เอลบอยในวัยเด็กแบกรับไว้ในภายหน้า เป็นการปลูกฝังตามปกติของผู้ใหญ่ที่มักเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กฟังว่า มังกรร้ายต่อสู้กับเจ้าชายรูปงามเพื่อแย่งชิงอาณาจักรเจ้าชายจะได้รับเจ้าหญิงแสนเลอโฉมตอบแทนความดีที่ตนจะได้จากการสังหารปิศาจมังกรเสมอ แต่สำหรับศาสตราจารย์บรูมนั้นได้เล่าออกมาได้แตกต่างกัน ทิ้งท้ายเพื่อให้เฮลบอยมีส่วนร่วมในความคิดและความตั้งใจในอนาคต ไม่ว่าโลกจะเป็นไปอย่างไรในอนาคตแต่เฮลบอยได้เลือกแล้วที่จะใช้ชีวิตราวกับมนุษย์คนหนึ่งกับแฟนสาวที่กำลังตั้งท้อง เป็นนัยว่าความสนุกของภาคต่อไปจะต้องเข้มข้นขึ้นยิ่งกว่าภาคที่ผ่านมาและภาคที่เพิ่งจบไปอย่างแน่นอน

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โปลิสโคตรแมน "Hot Fuzz"

______เมื่อไม่กี่วันเพิ่งได้ดูหนังตลกร้ายเรื่อง Big Nothing รู้สึกไม่ค่อยชอบพอกับหนังเท่าไร ขนาดหนังผ่านมาสองปีแต่ผมปล่อยให้พลาดสายตาไปได้คงเพราะไม่ค่อยมีใครพูดถึง แต่ดูไปดูมักชักจะนึกถึงดารานำชาวอังกฤษ ไซมอนเพ็ก ที่ขยับขึ้นมาดังในฮอลลีวู้ดด้วยเป็นตัวประกอบในหนัง M.I.3 ของพี่ทอมครู๊ซ แต่เป็นการนำเดี่ยวไม่ได้ติดคู่หูคู่ฮาอีกคนอย่างเจ้าตุ๊ต๊ะ นิคฟรอสต์ ที่เคยร่วมงานกันมาจนโด่งดังมาแล้วใน Shaun of the Dead เมื่อปี 2004 ทั้งสองมาพบกันอีกใน Hot Fuzz ในบทที่จริงจังจนน่าดูกว่าเรื่องก่อน ๆ ที่ผ่านมา หนังกล่าวถึงตำรวจจอมขยันที่มีฝีมือเก่งฉกาจที่สุดของเมืองหลวงลอนดอนด้วยความเป็นคนเก่งจมูกไวดมกลิ่นผู้ร้ายเก่งจับกลับมาโรงพักได้ทุกนาทีทุกชั่วโมงไป จนเป็นที่หมั่นไส้ของเพื่อนร่วมงานไปจนถึงระดับผู้กำกับประจำสน. ต้องหาทางไล่เขาไปอยู่ไกลผู้ไกลคนแถบบ้านนอกที่ไม่เคยมีคดีเกี่ยวกับอาชญากรรม เป็นที่อึดอัดขัดใจของนายตำรวจ นิโคลัส (ไซมอนเพ็ก) เป็นอันมาก นับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเมืองอันเงียบสงบ เขาก็เจอกับบาร์เทนเดอร์ใจดีที่ยอมขายเบียร์ให้เด็กรุ่นต่ำกว่าวัยอันควรแก่นิติภาวะ จนนายตำรวจนิโคลัสต้องตักเตือนเอง ไม่ว่าที่ไหน ๆ ของเมืองก็เต็มไปด้วยน้ำใสไมตรีจนเป็นที่น่าเบื่อหน่ายสุด ๆ ประกอบกับสถานีตำรวจที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทันสมัยในการป้องกันอาชญากรรมก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร นิโคลัสจำต้องจับคู่กับแดนนี่ (นิคฟรอสต์) ทั้งที่รู้ว่าคู่หูเขาไม่เอาไหนเลยซักนิดมักเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แต่ก็ต้องทำใจเพราะแดนนี่เป็นเด็กเส้นด้วยพ่อเป็นผู้กำกับสถานีโดยตรง ซักพักหนึ่งของงานนิคโคลัสก็ไม่ต้องเหงากับความสงบเพราะมีเหตุฆาตกรรมเป็นอาชญากรรมแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน นับวันการตายอย่างปริศนาก็ต่อเนื่องขึ้น นายตำรวจเลือดร้อนรู้สึกดีและขัดแย้งในตัวเองที่ตนอาจจะกำลังเป็นเป้าหมายของฆาตกรรายนี้ด้วย การคลี่คลายคดีจึงเป็นสิ่งที่ต้องรีบทำ Hot Fuzz ก็เริ่มสนุกจากหนังที่ดูตลกเบาสมองก็เริ่มตลกร้ายในกลางเรื่องจนกระทั่งบานปลายไปเป็นหนังแอ็คชั่นตลกร้ายสุดขอบอย่างไม่เคยเจอมาก่อน ที่ได้เห็นชาวเมืองนิสัยดียกปืนกระบอกโตกระหน่ำยิงตำรวจอย่างบ้าคลั่ง ความเป็นหนังตลกร้าย นายตำรวจนิโคลัสก็กระหน่ำยิงตอบโต้มันส์ไม่แพ้หนังแบ๊ดบอยส์ หนังมาถึงปลายสุดของเรื่องความจริงก็เริ่มเปิดเผย เป็นการคลายปริศนาที่หักมุมคนดูอย่างผมมาก ตรงที่ประเด็นเล็ก ๆ ที่เป็นแรงจูงใจของการก่อนอาชญากรรมที่มีสโมสรชาวเมืองเป็นกลุ่มบ้าลัทธิปกป้องชื่อเสียงเมืองที่ลงมติเป็นเอกฉันท์ที่จะต้องลงมือฆ่าหญิงแก่ผู้เปี่ยมไปด้วยฝีมือการปลูกไม้ดอกไม้ประดับที่อาจจะไปสร้างชื่อเสียงให้เมืองอื่นเมื่อหล่อนย้ายออกจากเมืองไป เป็นมติที่ค่อนข้างจะตลกชวนให้ขำแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความโหดอมหิตโดยไม่ได้ไร้เหตุผลซะทีเดียว หนังไม่ได้จบด้วยการจนมุมของตำรวจหนุ่มบ้าเลือดนิโคลัสแต่เป็นการเรียกสำนึกให้ออกมาจากสายเลือดตำรวจของเจ้าอ้วนแดนนี่ให้มีความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ อย่างที่เคยใฝ่ฝันไว้ว่าซักวันเลือดรักชาติจะเข้มข้นพ้นจากความเป็นเด็กขี้แยของพ่อตำรวจใหญ่หัวหน้าลัทธิ หนังรู้สึกให้ข้อคิดในแบบที่แยบยลเข้าท่าเอามาก ๆ ตลาดหนังอังกฤษกำลังขยายแข่งกับฮอลลีวู้ดมากขึ้น ขณะเดียวกันหนังฝรั่งเศสเดี๋ยวนี้ก็ไม่ขี้เหร่มีเนื้อเรื่องเต็มไปด้วยข้อคิดและสีสันมากมายน่าดูชม แต่การที่หนังตีตลาดได้กว้างขึ้นอาจจะเป็นเพราะ ฮอลลีวู้ดเองตะหากที่ย่ำอยู่กับที่ผลิตหนังเกรดบีเกรดซีออกมาในตลาดมากกว่าหนังเกรดเอ จนต้องซื้อหนังตลาดยุโรปไม่ก็หนังสเปน แม้แต่หนังเอเซียมารีเมคทำออกมาดูแก้เบื่อ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่คนดูตัดสินยังไงผมก็รู้สึกว่าคนดูหนังฉลาดเลือกมากกว่าเมื่อก่อนเยอะ การดูหนังก็ต้องมีการวิวัฒนการตามหนังไป เมื่อคนดูเป็นใหญ่ถือเป็นชัยชนะของคนดูครับ นั่นเองที่รางวัลออสการ์ก็ยังไม่พอ ต้องหันไปอาศัยการแยกคุณภาพจากเมืองคานส์ด้วย ..เดี๋ยวหลงกลผม ที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้ไมได้ชิงรางวัลอะไรหรอกนะครับ เอ่ยมาเฉย ๆ แค่เจอหนังดี ๆ ของต่างชาติก็ทำให้อารมณ์พาไปครับ

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

แผนลบชื่อ พลิกแฟ้มอาชญากร "The Alibi"

______หนังดี ๆ ส่วนใหญ่มักจะกลายเป็นหนังนอกกระแสนิยมเสมอมันน่าเสียดายนักถ้าเป็นคนที่ชอบดูหนังแล้วจะพลาดหนังเรื่องนี้ The Alibi ที่โปรโมทออกมาว่าสุดแสบ สุดปวด เนื้อเรื่องสับสน เพลงประกอบยอดแย่คนละทิศคนละทางกับหนัง ดาราประกบคู่ไม่เหมาะสมเ อีตาสตีฟคูแกน เป็นดาราตลกในสายหนังแนวของ เบนสติลเลอร์เสมอ หน้าตาบ่งบอกเชื้อชาติยิวชัดเจนกลับโชคดีได้ขึ้นแท่นดารานำของเรื่องเรียกง่าย ๆ ว่าได้เป็นพระเอกล่ะ ประกบสาวสุดเซ็กซี่ รีเบคก้าโรมินจ์ จนเป็นที่น่าอิจฉาของดารานำหลาย ๆ คน แต่ทั้งหมดคือความตั้งใจของหนังเพื่อทำกระแสเรียกร้องความสนใจของวงการภาพยนตร์ มันได้ผลกับผมแน่ ๆ The Alibi ว่าด้วยเรื่องของ ธุรกิจสายลับจับบ้านเล็ก คบชู้สู่ชาย ปกป้องพวกสันดานไม่ดีให้อยู่ในความลับตลอดกาลหรือที่พร้อมจะหักหลังได้ทุกเมื่อถ้าเงินถึง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กับสถาบันครอบครัวเป็นเรื่องที่ต้องใช้ยอดฝีมือระดับโปรเพรชชั่นนอล อย่าง เรย์เอเลียต (สตีฟคูแกน) เขาทำมันเป็นธุรกิจมานานพร้อมที่จะรับเงินทุกบาททุกสตางค์แล้วทำงานอย่างคุ้มค่าตามราคาที่ให้ งานล่าสุดของเรย์นอกจากจะปกป้องยอดชายจอมเจ้าชู้ผู้พ่อแล้วงานของเรย์ยังรับช่วงงานเป็นมรดกตกทอดให้ลูกชายมหาเศรษฐีผู้นี้ลูกค้าคนสำคัญอยู่ แต่ไม่วายความเป็นพ่อไก่แจ้มือใหม่ของ เวนเดลล์ แฮตช์ (เจมส์ มาร์สเด็น) ดันเผลอฆ่าคู่นอนตายคาเดียง งานของเรย์จึงไม่ธรรมดาทั้งที่ตนเองก็ติดปํญหารอบตัวจนรกรุงรังไปหมดแล้ว ยังต้องมาเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมที่เขาจะต้องหาวิธีปกป้องโกหกหลอกลวงรวมถึงเป็นครูสอนมวยให้พวกไก่อ่อนเหล่านี้เจนโลกให้ได้ ที่น่าตลกสุดของหนังก็ตรงที่เมียน้อย(ซัลมาแบร์ล) เจ้าพ่อใหญ่คู่ซี้ศัตรูเก่าของเรย์มองเห็นความหล่อเหลาของเขาติดใจจนอยากจะเข้าหาเป็นชู้กันซึ่ง ๆ หน้า แล้วไอ้เจ้าเรย์ก็กลับใช้ประโยชน์ทางนี้มาเป็นสาวนกต่ออาวุธกำจัดศัตรูให้สวมบทชู้แทนตนได้อีกช่างตลกร้ายสิ้นดี หนังมีการดำเนินเรื่องอย่างสับสนวุ่นวายและบทสนทนาที่เฉียบคมตลอดเรื่องรวมถึงการหักมุมที่พลิกสถานการณ์เอาตัวรอดอย่างคาดไม่ถึงทุกนาทีผ่านไปอย่างคุ้มค่าฟิล์ม จึงเป็นการยากนักที่จะบรรยายความรู้สึกของเนื้อเรื่องให้เข้าใจได้ เว้นแต่จะบรรยายถึงความสกปรกโสมมของพวกมาเฟียและพวกที่ทำงานตามล้างตามเช็ด รวมถึงการลงไปเป็นพยานรับจ้างเพื่อให้ลูกค้าพ้นตัวในทุกเรื่อง ลูกค้าจะต้องขาวสะอาดหมดจนยิ่งสะอาดเท่าไรยิ่งต้องจ่ายราคางาม ๆ ธุรกิจแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง ถ้ามีจริงมันจะยิ่งกว่าขัดกับหลักกฏหมายบ้านเมืองแล้วคงไม่สนุกเหมือนในหนังด้วย ถ้าผู้อ่านชอบหนังแนวนี้ผมหมายถึงหนังที่บทและการดำเนินเรื่องพลิกผันได้ไหลลื่นน่าติดตามตลอดเรื่องเพียงแต่หนัง The Alibi ออกจะอเมริกันแท้ซึ่งไม่ค่อยทำกันเท่าไร ผมมีหนังแนะนำซึ่งท่านอาจเคยผ่านสายตามาแล้วอย่างเรื่อง Snatch ฝีมือผู้กำกับกายริชชี่คนเก่ง นำโดย แบรดพิตต์ และอีกหลาย ๆ คน อีกเรื่องก็ pay back ปี 1999 เล่นนำโดยรูปหล่อจอมซาดิสต์ เมลกิบสัน กับหนังที่มักจะมีเหล่าเจ้าพ่อเป็นใหญ่โลภมากตัฒหากลับไม่สิ้นสุดทำความเลวได้ตลอดเวลาจนต้องการคนเก่ง ๆ มาตามล้างตามเช็ด แล้วสังคมในปัจจุบันจะไม่ได้การคนอย่าง The Alibi ได้อย่างไร ใครมีเบอร์โทรบริษัทของเรย์เอเลียต ช่วยส่งต่อให้ท่านนายกฯ ของเราเผื่อท่านจะจ้างรับงานใหญ่ระดับชาติ ทีถึงเวลาสมานฉันท์แล้ว

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กิ๊กเก่าผมเธอเป็นยอดมนุษย์ "My Super Ex-Girlfriend"

______ใกล้ปี 2010 เข้าไปทุกทีดูเหมือนหนังเกี่ยวกับซูปเปอร์ฮีโร่เริ่มกลับมานิยมมากขึ้นซะจนมีโครงการสร้างมากมาย ดึงจากหนังสือการ์ตูนบ้าง จากเกมส์คอนโซลบ้าง ไม่ก็รีเมกจากหนังเก่ามาเลย ที่ไปไม่รอดเห็นจะมี Superman Return 2006 ทำให้ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าซูปเปอร์ฮีโร่ผู้หญิงในยุคเดียวกันจะพากันไม่ได้เกิดใหม่ไปด้วยอย่าง Super girl และ Wonder woman นั่นผมหมายถึงซูปเปอร์ฮีโร่หญิงที่ปกติแล้วใครก็รู้จัก จนกระทั่งปี 2006 ก็ปรากฏซูปเปอร์ฮีโร่หญิงสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมานามว่า G - girl นั่นไม่ใช่หนังฮีโร่หญิงตัวจริงหรอกนะแต่เป็นแค่หนังตลกล้อเลียนเท่านั้นเอง การล้อเลียนไม่ใช่ประเด็นของหนังเพราะไม่ได้เอาฉากเด็ดจากหนังเรื่องอื่น ๆ มายำเละอย่างที่หนังตระกูลที่ลงท้ายชื่อว่า Movie ทำกัน My Super Ex-Girlfriend ให้ความสำคัญของจิตใจผู้หญิงมากขึ้นว่าถ้าผู้หญิงมีพลังมหาศาลพอ ๆ กับซูปเปอร์แมนแล้วการใช้ชีวิตของเธอคงจะเป็นแบบนี้แน่ ๆ ลุควิลสันในบทแม็ท แซนเดอร์น่าจะเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดที่ได้เป็นแฟนกับยอดมนุษย์หญิงหรือเขาจะเป็นผู้ชายที่โชคร้ายที่สุดในโลกกันแน่ท่านผู้ชมก็คงทราบดีแล้วมันตลกร้ายสิ้นดีเลยละครับ ยามรักกันก็หวานชื่นแต่ไม่ค่อยจะรื่นรมย์เพราะคุณเธออูม่าเธอ์แมนในบท เจนนี่จอห์นสันหรือ จีเกิล เธอนั้นมีพลังใช้ตลอดเวลาแม้แต่ตอนมีเซ็กส์จนแม็ทแซนเดอร์ต้องหลบไปหาทางมีกิ๊กใหม่ ยามโกรธของเธอยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้นเธออาจจะฆ่าผู้ชายที่นอกใจเธอได้ง่าย ๆ ทั้งที่เธอออกจะระวังแล้วในตอนแรกก่อนจะเริ่มมีความรักกับใคร ซึ่งตรงนี้ผมเองก็มีความเชื่ออย่างแน่นอน ผู้หญิงที่มักเอ่ยว่าไม่ใช่คนขี้หึงขี้หวง เอาเข้าจริง ๆ เป็นฟืนเป็นไฟกันทุกคน หนังเรื่องนี้ยังมีดาราที่ผมน่าจะต้องเอ่ยถึงอีกคนเพราะคุณเธอก็มีโอกาสได้เล่นหนังดี ๆ น้อยมาก แอนนาฟาริสในบท ฮันน่าห์ลิวอิส ในเรื่องเธอก็เป็นดารานำระดับนางเอกอีกคนประกบคู่กับอูม่าเธอร์แมนซึ่งปกติแล้วผมคิดว่าเป็นการยากที่จะให้สองคนนี้โคจรมาเจอกันได้โดยดูจากผลงานที่ผ่านมาของอูม่า หนังเรื่องนี้ชี้ให้เห็นชะตากรรมของผู้ชายที่อาจจะซวยมากกว่าที่เลือกคบกับผู้หญิงเก่งรอบด้านไม่ว่าจะแบบนี้หรือในแบบชีวิตจริง ผู้หญิงเวิร์คกิ้งเกิล ก็ไม่ต่างกับ My Super Ex-Girlfriend เท่าไรนัก เธอย่อมมีตบะสูงความเป็นต่อในชีวิตจนผู้ชายส่วนใหญ่มักเป็นรอง ถึงแม้จะเป็นที่หมายปองของผู้ชายหลายคนแต่สำหรับคนที่จะเป็นคู่ชีวิตด้วยแล้วยิ่งกว่านรกมีจริงเสียอีก หนังได้ให้ข้อคิดมากกว่าจะให้ดูตลกเฉย ๆ มันก็แล้วแต่มุมมองของคนดูว่าจะดูเป็นหนังตลกล้อเลียนเฉย ๆ เพราะที่จริงแล้วเป้าหมายของการล้อเลียนผมคิดว่า เขากำลังล้อเลียนผู้หญิงมากกว่า โชคดีนะที่หนังกลบเกลื่อนไปได้ไม่มีการต่อว่าต่อขานในภายหลัง ซูปเปอร์ฮีโร่ตัวผู้เองใช่ว่าไม่เคยถูกนำไปล้อเลียนคอยไม่นานเดี๋ยวจะได้เจอกันในฮีโร่ขวางโลกผิวหมึกที่มีพลังมหาศาลแต่ใช้ชีวิตราวกับกุ๊ยข้างถนนไว้โอกาสต่อไปจะกล่าวถึงครับ

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ดิ่งทะลุสะดือโลก "Journey To The Center Of The Earth"

______ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าหนังเรื่องนี้เป็นฉบับโฮมเธียร์เตอร์แล้วจะเป็นภาพสามมิติทั้งหมดรึเปล่า? แต่ที่แน่ ๆ แผ่น DVD จะได้เห็นเป็นภาพสามมิติแน่นอน หนังมากับแนวการโปรโมทคึกคักมากเรื่องหนึ่งแทบจะชนกันเองกับ The Mummy : Tomb of the Dragon Emperor ที่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเพราะเป็นผลงานแสดงนำของ แบรนดอนเฟรเซอร์ หล่อล่ำหน้าทะเล้นคนเดียวกันที่หันมาเอาดีกับหนัง Advanture ตลกได้อย่างลงตัวแล้วยังขายออกได้เรื่อย ๆ ในหนัง Journey to the Center of the Earth เองก็ให้เครดิตกับหนังสือนิยายไว้ตลอดเรื่อง ที่จริงแล้วเคยนำมาสร้างเป็นหนังใหญ่มาแล้วไม่ทราบเหมือนกันว่าโด่งดังแค่ไหนแต่คงจะไม่นำมารีเมคอีกแน่นอนเพราะเคยออกเป็นหนังซีรี่ย์ไปแล้วค่อนข้างเละเทะไม่สมบูรณ์เพราะถูกปรับให้เข้ากับยุคสมัยเกินไป ถ้าจะพูดถึงหนังแนววิทยาศาสตร์แล้วจะต้องได้ยินชื่อบุคคลอยู่สองชื่อแน่นอนคือ อัลเบิร์ตไอสไตน์ และ นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสนาม จูลส์เวิร์น (Jules Gabriel Verne) ที่ผลงานประพันธ์เป็นงานอมตะและแรงบันดาลใจให้นักประดิษฐ์นักวิทยาศาสตร์มากมายทั่วโลกและเป็นต้นตำหรับหนังผจญภัยสนุกสนานหลาย ๆ เรื่องขออนุญาตเอ่ยเพราะหลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก เช่น 80วันรอบโลก , ใต้ทะเล 20,000 โยชน์ , ผจญภัย 50 สัปดาห์กลางเวหา , ขอนับอีกเรื่องนะ เจาะเวลาหาอดีตทั้ง 3 ภาค ที่เอ่ยถึงตลอดเรื่องยิ่งกว่าเรื่องไหน ๆ เสียอีก Journey to the Center of the Earth กล่าวถึงการผจญภัยแบบตกกระไดพลอยโจนของ อาหลานคู่หนึ่งที่กำลังตื่นเต้นกับปรากฏการณ์ที่นานทีปีหนจะเกิดขึ้น ประกอบกับเป็นการสานต่องานสำรวจของพี่ชาย นามว่า แม็กซ์ ที่หายสาปสูญไป เทรเวอร์แอนเดอร์สัน (แบรนดอนเฟรเซอร์)และหลานฌอน ต้องรีบออกไปสำรวจตามแรงสั่นสะเทือนทีเพิ่งค้นพบ ตามแกนโลก จนได้พาสาวสวยทายาทนักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจอีกคนตกกระไดพลอยปล่องภูเขาไฟไปด้วยกัน หนังออกจะเน้นภาพตื่นตาตื่นใจของนักผจญภัยมือใหม่ทั้งสาม โดยถ่ายทำในแบบสตูดิโอภาพสีสดใสตื่นเต้นตระการตาแบบไม่ใช่ฉากใหญ่ทุ่มทุนมหาศาลตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น หนังจึงเป็นแค่งานโปรเจ็คเล็กๆ เพื่อไม่ให้โรงหนังประเภทสามมิติต้องเหงาตบยุงอยู่ทุกวัน มีผลงานส่งมาฉายให้ดูเป็นครั้งคราว ซึ่งล่าสุดมันก็นานมาแล้วกับหนัง The Pola Expresses ซึ่งไม่ใช่ระบบสามมิติ ถ้าจะให้เป็นสามมิติก็ต้อง Spy Kid 3 D (เน้น 3D ทั้งเรื่องแต่คุณภาพไม่ใช่ระดับ I MAX ) ซึ่งฉายไปนานแล้ว หลาย ๆ คนที้พูดถึงหนังเรื่องนี้มักจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ไม่สนุก มีบ้างที่บอกว่าสนุกดี กันก็แค่สนุกดีไม่ได้สนุกมาก สำหรับผมสนุกดีเหมือนกันแต่มีหลายอย่างที่ไม่สมเหตุผลหรือว่าไปมันก็ทั้งเรื่องนั่นแหล่ะไม่มีอะไรสมเหตุผลเลยซักเท่าไร หนังยังอุตส่าห์เอาไดโนเสาร์มาวิ่งไล่กินคนโผล่ไว้เผื่อโปรโมทให้ดูมัน ๆ แถมต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงกอลิล่าที่พอดูสนุกขึ้นมาหน่อย ตกลงแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังคาดหวังว่าจะเป็นหนังฟอร์มใหญ่โตอะไรเป็นแค่หนังผจญภัยสนุก ๆ ดูแก้เซ็ง ที่ไม่ใช่เกรดบี เพียงแต่ถ่ายทำในระบบ 3 D ไว้มีให้ดูเล่น ๆ ครับ

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

นักฆ่าหน้านักบุญ "Lord of War"

______ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหนัง Lord of war ถึงตั้งชื่อไทยออกมาแบบนี้ คงจะเรียกความน่าสนใจได้ดีแต่อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นช่วงขาขึ้นของ นิโคลัสเคจ ที่มีงานแสดงนำเป็นตัวเอกบ่อยกว่าตัวร้ายนับตั้งแต่ Face/Off เมื่อปี 1997 ก็มีบ้างที่ได้บทครึ่งดีครึ่งร้าย แถมยังเพิ่งได้บท เบนเกตส์ ใน National Treasure มาด้วย หน้าตาซูบตอบแบบอิตาเลี่ยนของเขาดูไปก็คล้ายพวกรัสเซี่ยนเหมือนกัน ความเป็นคนพูดมากคารมดีสีหน้าออกจะกะล่อนได้จริงใจ ก็ยอมรับได้ว่าเหมาะมากกับบท ยูริออร์โลฟ (หรือโอร์ลอฟ ดีนะ) เป็นพ่อค้าอาวุธสงครามระดับบิ๊กบ๊อส แต่มาเสียท่าโดนรวบตัวในเมืองไทยขณะกำลังพักผ่อน ก็เป็นเรื่องที่ได้ยินมาเท็จจริงประการใด ได้ยินมาว่า ยูริออร์โลฟมีตัวตนจริงไม่แน่ใจว่าชื่อตรงกันรึเปล่าหรือเป็นชื่อสมติขึ้นมาเหมือนกันหนังอีกเรื่อง The last Samurai ที่ชื่อมัตซึโมโต้ก็ไม่ใช่ชื่อบุคคลในประวัติศาสตร์เพียงแต่เปลี่ยนเพื่อทำเป็นหนังเท่านั้น Lord of war เป็นที่วิพากวิจารณ์กันมากว่าเป็นหนังเสียดสีอย่างชัดเจน แต่ก็มีหลายคนที่ผิดหวังเพราะกะจะดูนิโคลัสเคจแสดงหนังแอ็คชั่นมันส์หยดยิงกันกระหน่ำเหมือนในภาพโปรโมทก็ต้องผิดหวังเพราะหนังมาคนละแนวครับ หนังเปิดฉากอินโทรได้ชัดเจนโหดร้ายไร้เดียงสาได้เข้าเป้า คนขายปืนมีกฏอยู่ว่าจะต้องไม่โดนยิงด้วยปืนและกระสุนของตัวเองส่วนใครจะโดนยิงนั้นไม่ได้เป็นที่สนใจเลยซักนิด หนังดำเนินเรื่องได้โหลมากลักษณะของหนังแบบนี้ก็ต้องเป็นเรื่องเล่าอย่างเดียวกับหนังมาเฟียทั้งหลายที่แทบจะถูกยกย่องให้เป็นมหากาพย์ของยุคใหม่ ยูริเริ่มต้นขายอาวุธตั้งแต่ยังหนุ่มหน้าอ่อนด้วยความคิดเพียงแว่บเดียวแต่เปี่ยมไปด้วยมันสมองหลายชั้น ด้วยตรรกะง่าย ๆ ในทุก ๆ คนอยากจะมีปืนแม้ไม่ได้ใช้ก็อยากจะมี ถ้าใน 12 คนมีคนที่มีปืน 1 คน เขาจะต้องเป็นคนขายปืนให้กับ 11 คนที่เหลือ แม้ได้บอกที่มาของการเริ่มต้นอย่างชัดเจนการขายปืนครั้งแรกเต็มไปด้วยความตื่นเต้นแค่ไหนเมื่อผ่านครั้งแรกเหมือนกับการเปิดบริสุทธิ์ ครั้งต่อไปก็สบายบรื๋อ.. ธุรกิจของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนต้องหาคนที่ไว้ใจได้อย่างน้องชาย วิตาลี(จาเร็ดเลโต้) มาเป็นหุ้นส่วน เรื่องราวที่เหลือก็จะเป็นเพียงเรื่องตลกร้ายในชีวิตซะมากกว่า ไม่ว่าจะลุ้นจากการถูกตรวจจับของเจ้าหน้าที่นาโต้ ชื่อหวานเจี๊ยบ แจ็ควาเลนไทน์ (อีธานฮอว์ก) ที่เป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมามากกว่าหอกข้างแคร่ คอยไล่ตามจับตั้งแต่บนบก บนอากาศ ทางน้ำทางทะเล แจ็ควาเลนไทน์เป็นเหมือนศูนย์รวมเรื่องตลกร้ายของยูริ ตั้งแต่แก้สถานการณ์เฉพาะหน้าที่ยูริยอมแจกอาวุธสินค้าให้กับชาวเมืองในอัฟริกาเพื่อหนีการจับของแจ็ค จนเมื่อยูริต้องเสียน้องชายไปก็ทำให้เขาโดนจับเพราะมีกระสุนอยู่ในศพ แต่เขาก็รอดมาได้โดยตลอดไม่เคยจนมุมแม้ซักครั้งจะด้วยความช่วยเหลือจากมหาอำนาจคนใดก็ตามที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรมเพียงเพื่อปล่อยให้ยูริขายอาวุธไปเรื่อยเป็นการถ่วงดุลย์ความสงบสุขบนโลกนี้ Lord of war มีลูกเล่นที่แสนแสบ คู่แข่งทางการค้าสำคัญจากอีกซีกโลก ซีเมียนไวซ์ (เอียนโฮม) ที่บอกชัดเจนถึงขั้วมหาอำนาจทางยุโรปที่ต้องการสร้างสมดุลย์ทางการสงครามเพียงแต่เขาไม่มีข้อเสนอที่ดีกว่ายูริตัวแทนขั้วมหาอำนาจที่แท้จริง ต้องยอมรับว่า อังกฤษฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจตะวันตกแค่ตำแหน่งรองจากพี่ใหญ่อเมริกาเท่านั้นในยุคนี้ ยูริออร์โลฟ ไม่ใช่ขุนศึกแห่งสงครามเพราะเขาไม่ได้รบราฆ่าฟันกับใคร แต่เขาเป็นคนที่สร้างขุนศึกเหล่านั้น เงินไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอีกต่อไป อำนาจก็ไม่ใช่ เพียงแค่สิ่งเดียวที่เป็นเป้าหมายสำคัญของชีวิตก็คือ การได้ขายสิ่งที่คนต้องการ ถ้าสินค้าของเขากระจายอยู่ทั่วโลกเขาก็ไม่แยแสเลยว่าปืนและกระสุนนั้นจะไปเจาะกระโหลกสมองหรือหน้าอกใครบ้างตราบที่สินค้ายังใช้การได้ดีเขาก็พอใจแล้ว หากชีวิตจริงของคนเราได้อยู่ในระดับนี้แล้ว ยูริ ก็ถือว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการขายที่สุดในโลก เหมือนอย่างที่พ่อผมเคยสอนแบบประชดประชันไว้ว่า "ถ้าเป็นคนดีไม่ได้ก็ไปเป็นโจรซะรู้แล้วรู้รอด แต่อย่าเป็นโจรกระจอกนะ จะเป็นแล้วก็ต้องเป็นมหาโจรไปเลย " ส่วนใหญ่อาจจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้แต่สำหรับผมชอบมันมาก มันก็ไม่ต่างกับมหากาพย์หนังมาเฟียเรื่องอื่น ๆ ที่มีทั้งการเริ่มต้น ความรุ่งเรือง การได้มาด้วยอำนาจและอิทธิพลแล้วก็จดจุดจากผลกรรมที่ค่อย ๆ มาทำลายชีวิตที่เคยรุ่งเรื่อง สัจธรรมแท้ ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อินเดียน่า โจนส์ ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4 : อาณาจักรกระโหลกแก้ว "INDIANA JONES And The Kingdom Of The Crystal Skull"

______ผมเคยได้ยินมาว่า อาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือ ขายตัว ส่วนอาชีพที่เก่าแก่เป็นอันดับสองคือ ขุดหาสมบัติสุสาน แล้วถ้าจะพูดถึงหนังฮอลลีวู้ดที่เกี่ยวกับโบราณคดี อันดับหนึ่งในดวงใจหลาย ๆ คนจะต้องเป็น การผจญภัยของ Indiana Jones ที่จริงไม่ใช่มีเขาคนเดียวหรอก นักโบราณคดีที่เป็นระดับตำนานมีเยอะแยะมากมายจนนับชื่อไม่ถูกแต่จะมีใครที่แอคชั่นแอ๊ดแวนเจอร์ได้ขนาดนี้ คาแร็คเตอร์ของอินดี้นั้นไม่ค่อยมีใครรู้เท่าไรว่าก๊อปปี้มาจาก อลันควอเตอร์เมน ในหนังสือนิยาย King Solomon's Mines (จะว่าไปแม้แต่ รพินทร์ ไพรวัลย์ ในนิยาย เพชรพระอุมา ก็เช่นกัน) แต่อย่างไรก็ตามหลายอย่างก็ดูเข้าท่าและเหมาะสม เคล็ดลับที่หนัง Indiana Jones ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงมายาวนานที่ผมรู้สึกน่าจะเป็นเพราะหนังให้จินตนาการได้เหมือนกับการ์ตูน เพราะความโม้แหลกและมันส์หยดมีครบถ้วน ส่วนความเป็นโบราณคดีนั้นก็ยกมาจากตำนานที่เป็นเพียงเรื่องเล่า มุขตลกที่คนดูรุ่นใหม่คงแค่ขำ ๆ แต่แฟนพันธุ์แท้ระดับสาวกเท่านั้นถึงจะฮากลิ้งตกเก้าอี้ ระยะห่างของหนังที่มีมายาวนานจนกระทั่งหนังเดิมทั้งสามภาคมีเก็บสะสมเป็น DVD ระบบเสียง THX สมบูรณ์แบบไม่ได้มีเสียงพากย์ไทยเลยจนกระทั่งปีที่แล้วนี้ได้ทำการก๊อปปี้ใหม่พากย์ไทยจำหน่ายเพื่อปลุกกระแสให้คนรู้จักก่อนจะเปิดตัวหนังที่เก็บเป็นความลับตามสไตล์การสร้างของ จอร์จลูคัส Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull ยังคงให้พ่อมดแห่งวงการหนัง สตีเว่นสปีลเบอร์ก กำกับ ซึ่งผมก็ยอมรับถูกต้องอย่างแน่นอนจะเป็นคนอื่นไปได้อย่างไรเพราะกลัวจะเสี่ยงว่าหนังอาจจะไม่ทำเงินแต่ชื่อลุงสปีลเบอร์กขายออกแน่ ๆ หนังเปิดตัวอินโทรได้ไม่ค่อยสวยเท่าไรกับอินดี้ที่ต้องเสียท่าถูกบังคับจับกุมมายังสถานที่ Aria 51 แต่ก็เป็นการผูกเรื่องให้อินดี้ไขปริศนาค้นหาหีบลึกลับอย่างไม่เต็มใจ โดยส่วนใหญ่หนังดำเนินเรื่องไปโดยที่อินดี้ตามล่าสมบัติโบราณไปด้วยความจำเป็นทั้งถูกปืนจี้ และเพื่อช่วยชีวิตคน ความรู้ทางโบราณคดีในเรื่องในมีเต็มเปี่ยมพร้อมฝีมือบู้ล้างผลาญอย่างสะใจจนผมลืมไปเลยว่าวัยของ แฮริสันฟอร์ดนั้นขนาดไหนแล้วที่เป็นข่าวมาหลายปีแล้วว่าเขาอาจจะไม่ได้แสดงเพราะแก่ตัวไปมาก พอได้ดูหนังจริง ๆ ยอมรับเลยว่าไม่ขัดลูกตาเลยซักนิด ดาราอังกฤษหน้าเก่าจอมหักหลัง เรย์วินสโตน์ มีบทน้อยไปหน่อยบทดีสลับร้ายของเขายังไปได้ดีเสียดายฝีมือเพราะเป็นตัวละครใหม่ รวมถึงดาราหน้าใหม่กำลังแรง ไชอาลาบัฟในบท บัตต์วิลเลี่ยมซึ่งไม่ค่อยจะเป็นเซอร์ไพร์สเท่าไรเลยว่ามารับบทลูกชายของอินดี้เพราะเอาไปโปรโมทเต็ม ๆ ให้คนแห่กันมาดู บทบาทก็ไม่แรงมากยังคงให้เครดิตกับอินดี้เป็นดาวเด่นของเรื่องมากว่าซึ่งก็เหมาะสม อย่างไร ก็ไม่ว่ากันเพราะหนังสนุกมาก เสน่ห์ที่ดึงดูดใจของอินเดียนน่าโจนส์ไม่ใช่ปริศนาโบราณคดี แต่เป็นการผจญภัยไล่ล่าต่อกรกันพัลวันวินาศสันตะโร ฉากไล่ล่าในป่าอเมซอนนั้นเยี่ยมยอดมากทำให้ผมนึกถึงยานภาคพื้นดินของหนัง Starwars Return of The Jedi ซึ่งยังติดตรึงใจไม่หาย รสชาติดั้งเดิมเสน่ห์ที่ดูเชย ๆ ของหนังทำให้หลงตาสว่างดูได้ตลอดเรื่อง อาณาจักรกระโหลกแก้ว ที่จริงแล้วเป็นการผูกเรื่องลึกลับของกระโหลกคริสตัลที่อาจจะมีอยู่บนโลกนี้ถึงสิบสามชิ้น เมื่อมาทำเป็นหนังมันก็ดูเข้าท่ากับฝ่ายผู้ร้ายสหภาพโซเวียตที่นิยมอำนาจลึกลับมาใช้ประโยชน์ทางทหารมากกว่านาซีเยอรมัน หนังเต็มไปด้วยมุขตลกอย่างสุดหรรษาเราได้เห็นใบหน้าสุดปลื้มของอินดี้ที่รู้ว่าตนมีลูกชายต่างกับภาคก่อนที่ ฌอนคอนเนอรรี่ในบทแฮรี่โจนส์ผู้พ่อ ที่มักทำสีหน้าเข้มใส่ลูกชายเสมอ แล้วเราได้เห็นมุขตลกตอนอินดี้ซ้อนมอเตอร์ไซค์หนีการไล่ล่า ทำสีหน้าดุดันเพราะเพิ่งเข้าใจว่าเหตุการณ์แบบนี้สำหรับคนซ้อนมันไม่สนุก ฮ่า ฮ่า (คนดูขำ) หนังออกจะเกินเลยเถิดไปมากสำหรับเรื่องปริศนากระโหลกแก้วที่ไขแล้ว เป็นศีรษะเอเลี่ยนนี่เองจนมาถึงฉากใหญ่ที่จานผีบินขึ้นในตอนจบนั้นผมยอมรับเลยว่าเป็นความตั้งใจส่วนตัวของจอร์จลูคัสที่เสี่ยงต่อหนังมาก สปีลเบอร์กเองก็โดนนักวิจารณ์ว่าบ่อย ๆ ตั้งแต่หนัง A. I. แล้วที่มีเอเลี่ยนหรือมนุษย์อนาคตก็ตามโผล่มาตอนจบ แต่ก็ไม่ใช่ข้อเสียของหนังซักนิด ถ้าจะว่าไปข้อเสียของหนังก็คงจะเป็น เวลาแห่งความสุขในการนั่งชมหนังเรื่องนี้ความยาวสองชั่วโมงนี้ช่างสั้นเหลือเกิน แล้วจะมีต่อมั้ยเนี่ย ? คงไม่ต้องรอยี่สิบปีอีกรอบหรอกนะ

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

"Flawless"

______หนังเงียบ ๆ ที่ไม่ค่อยจะโด่งดังเท่าไรแต่ไว้ดูแก้ขัดได้กับหนังเนื้อเรื่องหักมุมเล็ก ๆ ที่เป็นสไตล์ฮอลลีวู้ดมากกว่าสไตล์หนังผู้ดีอังกฤษ ที่ผมรู้สึกชอบเพราะว่านาน ๆ ทีจะได้เห็นดารารุ่นใหญ่ผู้ไม่ค่อยเกี่ยงบทอย่าง ไมเคิลเคน แสดงหนังเรื่องไหนก็น่าดูซะทุกเรื่อง แล้วเรื่องนี้ได้ประกบดาราหญิงรุ่นใหญ่แต่ยังเช้งกระเด๊ะอย่าง เดมี่มัวร์ ด้วยแล้วจะมองข้ามไปเฉย ๆ ไม่ลงแน่ ตามที่รู้กันมานานแล้วว่าอังกฤษผูกขาดการเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณ๊อันดับหนึ่งของโลกเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า อังกฤษคือเจ้าพ่อใหญ่มาเฟียค้าเพชรนี่เอง การรับรองคุณภาพหรือตั้งราคาตามแต่คุณภาพน้ำใสก็ต้องอิงมาตรฐานของช่างจากประเทศอังกฤษ หากมีเพชรที่ขุดได้จากแอฟริกาก็ต้องผ่านพี่ใหญ่ทุกเม็ดไม่งั้นอาจจะเป็นเพียงเพชรในตลาดมืดที่ไร้การรับรอง และเมื่อธุรกิจเพชรรุ่งเรืองในยุคก่อนสงครามโลกเพชรจะหลั่งไหลมามากมายจนต้องมีการจัดการรูปแบบเดียวกับธนาคารกันเลยทีเดียว หนังเริ่มต้นจาก ลอร่าควิน (เดมี่มัวร์) มีความตั้งใจอย่างสูงที่จะเปิดเผยความลับในชีวิตของตนเองให้กับคอลัมน์นิสต์สาวหน้าใหม่ถึงเรื่องราววีรกรรมสุด ๆ ในชีวิตของเธอ ตรงจุดนี้พอจะจับทางได้เลยว่าต้องมีที่มาของหนังจากหนังสือนิยายซักเล่ม (ไม่ได้ดูเครดิตนะ) หนังเริ่มเรื่องในช่วงแรกไม่ค่อยน่าสนใจ จนกระทั่งคุณลอร่าควินเธอถูกหักหลังทางความก้าวหน้าในอาชีพ เธอก็มีความแค้นส่วนตัวเป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะออกไปพ้น ๆ จากงานที่ทำอยู่แต่ขอมีบำนาญน้ำงาม ๆ ติดไม้ติดมือ(หรือติดซอกเล็บ)ไปซัก 10 เม็ดเท่านั้น แต่คุณเธอใจไม่กล้าพอจนกระทั่ง คนงานสูงวัยนายฮ็อบส์ (ไมเคิลเคน) ตำแหน่งหน้าที่ทำความสะอาดของบริษัทเพชรแห่งนี้มีข้อเสนอที่จะทำการใหญ่ร่วมกับคุณเธอ บังเกิดภาระกิจลับที่ออกจะลุ้นแบบเก้ ๆ กัง ๆ ตามประสาคนแก่ทำงานหนักไปทางน่าสงสารที่เห็นทำไปหอบไปไม่ค่อยแอ็คชั่นแทบลืมหายใจอย่าง Mission Impossible หนังดำเนินเรื่องไปได้ดีตามข้อตกลงที่ว่าการโจรกรรมครั้งนี้มีเป้าหมายเพียงเพชรไม่กี่เม็ด แต่คุณพระคุณเจ้าช่วย! คุณตาฮอบส์ล่อเทกระจาดเพชรซักเกลี้ยงหมดทั้งห้องเซฟทุก ๆ เม็ดโดนขนเกลี้ยงไม่เหลือหลอ จนบริษัทต้องปิดข่าวกันให้แซ่ดเกิดความเครียดต่อผู้บริหารระดับสูงขนาดแทบหัวใจวายตาย ผลของการโจรกรรมเพชรผมพอทราบว่าจะเกิดผลเสียมหาศาลต่อบริษัทไม่พอมันกระทบถึงเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรด้วย ไม่นานผลกระทบนี้อาจจะบานปลายไปถึงระดับการเมืองโลก ก็ถือว่าคุณลอร่าแก้แค้นสำเร็จ หนังมันหักมุมตรงที่คุณลอร่าเองก็หัวใจเต้นผางไปเหมือนกันเมื่อรู้ข่าวที่เพชรหายเกลี้ยงแล้วตนเองก็ถูกสอบสวนซึ่งเจ้าหน้าที่ ฟินซ์ (แลมเบิร์ตวิลสัน) ผู้เต็มไปด้วยสัญชาติญาณนักสืบได้กลิ่นตุตุของงานนี้แล้วเพียงแต่อยากแสดงฝีมือจับให้ได้คาหนังคาเขาเท่านั้นเอง ตาเฒ่าฮอบส์สวมบทผู้ร้ายไปทันทีเมื่อมาถึงจุดนี้ ขณะที่ผมดูใกล้จะหลับก็ต้องลุกนั่งขยับเพื่อดูหนังให้ตั้งใจมากกว่าเดิมแต่ก็ต้องผิดหวังนิด กับการตามล่าเพชรที่หายไปกลับมาครบทุกเม็ดซึ่งยกให้เจ๊ลอร่าสวมบทซุปเปอร์เกิลโดนตาเฒ่าฮอบส์ไล่ยิงในท่อระบายน้ำ เป็นไคลแม็กซ์ของหนังที่ค่อนข้างจะเห่ยมาก แล้วหนังก็ให้เห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็นอีกอย่างคือ สาวใหญ่เดมี่มัวร์ยอมรับบทแต่งเป็นสาวแก่ทึนทึกทั้งที่แม่คุณช่างเลือกแต่บทที่ยังหลงเค้าความเซ็กซี่อยู่เสมอ ส่วนตาแก่ไมเคิลเคนก็เหมือนเล่นหนังเรื่องนี้เป็นการพักร้อนเพราะมีงานแสดงตลอดอยู่แล้ว สำหรับผมแล้วส่วนสำคัญของหนังควรจะเน้นไปที่ผลเสียของการที่เพชรหายว่ามันจะเป็นหายนะขนาดไหนต่อเศรษฐกิจที่อาจจะล่มสลายอย่างปุ๊บปั๊บครั้งนี้

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

มหาภัยเชื้อนรกถล่มเมือง "28 Weeks later"

______ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่นิยมหนังแนวผีซอมบี้ไล่จับคนกิน ก็มันมีอยู่ตั้งหลายเรื่องที่จำได้ก็ต้องราชาแห่งหนังซอมบี้อย่าง Jorge A Romero ที่ทำให้เกิดกระแสผลิตหนังซอมบี้เฟรนด์ไชน์มาหลาย ๆ ภาคแถมพี่ท่านก็ไม่หวงลิขสิทธ์ใครอยากจะสร้างหนังซอมบี้อย่างไรก็เชิญแถมเป็นที่ปรึกษาให้ด้วย กลายเป็นเครื่องหมายการค้าหนังซอมบี้ไปในตัว แต่ผีซอมบี้ของพี่จอร์จ ต่างกับซอมบี้สายพันธุ์อังกฤษอย่าง 28 Days Later 2003 อยู่อย่างหนึ่งคือ มันวิ่งได้ โหโคตะระน่ากลัวเลยครับพี่น้อง... ผมไม่เคยเห็นซอมบี้ที่มีกำลังมากพอจะวิ่งไล่กัดกินคนตามถนนตามเมืองได้หืดขึ้นคออย่างนี้มาก่อน เป็นสูตรที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นมากมายจนกระทั่งมาสร้างต่อแต่เปลี่ยนแปลงผู้กำกับใหม่ในหนัง 28 Weeks Later ซึ่งห่างจากกันหลายปีจนนึกว่าจะไม่มีต่อซะแล้ว ที่ผมเอามาเอ่ยถึงเพราะเร็ว ๆ ก็มีหนังรีเมกซอมบี้มาเรื่อย ๆ ไม่หยุดหย่อนแถมยังจะมีภาคต่อจาก 28 Weeks Later ซึ่งเดาทางไม่ถูกเลยว่าจะเป็นไปอย่างไรอีกจึงตัดสินใจแสดงความคิดเห็นต่อหนังล่าสุดเรื่องนี้ไปพลางก่อน 28 Weeks Later ผูกเรื่องไว้ดีกว่าที่คิดไว้มาก กล่าวถึงหายนะของเหล่าซอมบี้ที่เอาแต่สวาปามอย่างเดียวที่กำลังจะมาถึงก็ต้องหยุดชะงักการกินแล้วกันมาไล่ล่าอย่างมีเป้าหมายสำคัญ เมื่อปรากฏมีมนุษย์พิเศษที่มีภูมิต้านทานเชื้อซอมบี้ (อันนี้มันชนกับหนัง I Am legend เต็ม ๆ ฉายปีเดียวกันซะด้วย ) นอกจากทหารบกจะปกป้องประชาชนจากการรุกรานของมนุษย์ติดเชื้อบ้าไล่กินคนแล้ว ยังต้องปกป้องมนุษย์ซึ่งมีสายเลือดที่จะเปลี่ยนแปลงวงการแพทย์ครั้งสำคัญนี้ หนังยังเน้นหนักถึงความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งและการแบ่งพรรคแบ่งพวกของผู้ที่มีอาวุธอยู่ในมือ หนังไม่ค่อยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ซึ่งกันและกันเท่าไรเพราะต้องการเน้นเดินทางของความหวังว่ามีความสำคัญต่อมนุษยชาติ ที่จริงแล้วซอมบี้ในความหมายที่ผมเพิ่งจะค้นพบใหม่ มันอาจจะเป็นคำสุภาพในการต่อว่าบรรดาคนเดินดินที่มีลมหายใจใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ ทำมาหาเงินเลี้ยงชีวิตตามปกติโดยอาศัยซึ่งกันและกันไม่ได้มีความพิเศษหรือมองโลกให้พิเศษกว่าใคร ๆ หนังมักจะให้ซอมบี้เป็นภัยคุกคามแล้วก็มักจะแพร่กระจายไปโดยง่าย คนธรรมดาย่อมติดเชื้อง่าย ๆ เชื้อที่ว่าน่าจะเป็นเชื่อโรค "ความหลง" ไม่ว่าจะหลงในวัตถุ เงินตรา ความสุขสบาย ล้วนเป็นกิเลสตัณหาของปุถุชน คนที่ยังไม่หลงใหลมัวเราก็ควรจะหลีกหนีให้พ้น ๆ จากสิ่งยั่วยุเหล่านี้ แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกินดังหนังแต่ละเรื่องในตอนจบคนส่วนใหญ่ก็มักจะแพ้ซอมบี้โดนกินซะเรียบแทบจะหมดโลก แล้วหนังก็ยังมีภาคใหม่ให้เรียนรู้ถึงการดิ้นรนที่จะหลีกหนีอย่างไม่สิ้นสุด แต่ไอเดียใหม่ 28 Weeks Later นี่เจ๋งสุด ตรงความหวังที่จะต้านทานเชื้อโรคกิเลสตัณหาเหล่านี้ มันออกจะต้องผจญอันตรายรอบด้านทั้งจากคนที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ ผมคงต้องรอติดตามหนังใหม่ที่ไม่รู้จะออกมาชื่อ 28 Months Later หรือเปล่า ? (ล้เล่น) ซึ่งหนังคงจะมีไอเดียสุดเจ๋งมานำเสนออย่างแน่นอนผมมั่นใจ