วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โปลิสโคตรแมน "Hot Fuzz"

______เมื่อไม่กี่วันเพิ่งได้ดูหนังตลกร้ายเรื่อง Big Nothing รู้สึกไม่ค่อยชอบพอกับหนังเท่าไร ขนาดหนังผ่านมาสองปีแต่ผมปล่อยให้พลาดสายตาไปได้คงเพราะไม่ค่อยมีใครพูดถึง แต่ดูไปดูมักชักจะนึกถึงดารานำชาวอังกฤษ ไซมอนเพ็ก ที่ขยับขึ้นมาดังในฮอลลีวู้ดด้วยเป็นตัวประกอบในหนัง M.I.3 ของพี่ทอมครู๊ซ แต่เป็นการนำเดี่ยวไม่ได้ติดคู่หูคู่ฮาอีกคนอย่างเจ้าตุ๊ต๊ะ นิคฟรอสต์ ที่เคยร่วมงานกันมาจนโด่งดังมาแล้วใน Shaun of the Dead เมื่อปี 2004 ทั้งสองมาพบกันอีกใน Hot Fuzz ในบทที่จริงจังจนน่าดูกว่าเรื่องก่อน ๆ ที่ผ่านมา หนังกล่าวถึงตำรวจจอมขยันที่มีฝีมือเก่งฉกาจที่สุดของเมืองหลวงลอนดอนด้วยความเป็นคนเก่งจมูกไวดมกลิ่นผู้ร้ายเก่งจับกลับมาโรงพักได้ทุกนาทีทุกชั่วโมงไป จนเป็นที่หมั่นไส้ของเพื่อนร่วมงานไปจนถึงระดับผู้กำกับประจำสน. ต้องหาทางไล่เขาไปอยู่ไกลผู้ไกลคนแถบบ้านนอกที่ไม่เคยมีคดีเกี่ยวกับอาชญากรรม เป็นที่อึดอัดขัดใจของนายตำรวจ นิโคลัส (ไซมอนเพ็ก) เป็นอันมาก นับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเมืองอันเงียบสงบ เขาก็เจอกับบาร์เทนเดอร์ใจดีที่ยอมขายเบียร์ให้เด็กรุ่นต่ำกว่าวัยอันควรแก่นิติภาวะ จนนายตำรวจนิโคลัสต้องตักเตือนเอง ไม่ว่าที่ไหน ๆ ของเมืองก็เต็มไปด้วยน้ำใสไมตรีจนเป็นที่น่าเบื่อหน่ายสุด ๆ ประกอบกับสถานีตำรวจที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทันสมัยในการป้องกันอาชญากรรมก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร นิโคลัสจำต้องจับคู่กับแดนนี่ (นิคฟรอสต์) ทั้งที่รู้ว่าคู่หูเขาไม่เอาไหนเลยซักนิดมักเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แต่ก็ต้องทำใจเพราะแดนนี่เป็นเด็กเส้นด้วยพ่อเป็นผู้กำกับสถานีโดยตรง ซักพักหนึ่งของงานนิคโคลัสก็ไม่ต้องเหงากับความสงบเพราะมีเหตุฆาตกรรมเป็นอาชญากรรมแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน นับวันการตายอย่างปริศนาก็ต่อเนื่องขึ้น นายตำรวจเลือดร้อนรู้สึกดีและขัดแย้งในตัวเองที่ตนอาจจะกำลังเป็นเป้าหมายของฆาตกรรายนี้ด้วย การคลี่คลายคดีจึงเป็นสิ่งที่ต้องรีบทำ Hot Fuzz ก็เริ่มสนุกจากหนังที่ดูตลกเบาสมองก็เริ่มตลกร้ายในกลางเรื่องจนกระทั่งบานปลายไปเป็นหนังแอ็คชั่นตลกร้ายสุดขอบอย่างไม่เคยเจอมาก่อน ที่ได้เห็นชาวเมืองนิสัยดียกปืนกระบอกโตกระหน่ำยิงตำรวจอย่างบ้าคลั่ง ความเป็นหนังตลกร้าย นายตำรวจนิโคลัสก็กระหน่ำยิงตอบโต้มันส์ไม่แพ้หนังแบ๊ดบอยส์ หนังมาถึงปลายสุดของเรื่องความจริงก็เริ่มเปิดเผย เป็นการคลายปริศนาที่หักมุมคนดูอย่างผมมาก ตรงที่ประเด็นเล็ก ๆ ที่เป็นแรงจูงใจของการก่อนอาชญากรรมที่มีสโมสรชาวเมืองเป็นกลุ่มบ้าลัทธิปกป้องชื่อเสียงเมืองที่ลงมติเป็นเอกฉันท์ที่จะต้องลงมือฆ่าหญิงแก่ผู้เปี่ยมไปด้วยฝีมือการปลูกไม้ดอกไม้ประดับที่อาจจะไปสร้างชื่อเสียงให้เมืองอื่นเมื่อหล่อนย้ายออกจากเมืองไป เป็นมติที่ค่อนข้างจะตลกชวนให้ขำแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความโหดอมหิตโดยไม่ได้ไร้เหตุผลซะทีเดียว หนังไม่ได้จบด้วยการจนมุมของตำรวจหนุ่มบ้าเลือดนิโคลัสแต่เป็นการเรียกสำนึกให้ออกมาจากสายเลือดตำรวจของเจ้าอ้วนแดนนี่ให้มีความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ อย่างที่เคยใฝ่ฝันไว้ว่าซักวันเลือดรักชาติจะเข้มข้นพ้นจากความเป็นเด็กขี้แยของพ่อตำรวจใหญ่หัวหน้าลัทธิ หนังรู้สึกให้ข้อคิดในแบบที่แยบยลเข้าท่าเอามาก ๆ ตลาดหนังอังกฤษกำลังขยายแข่งกับฮอลลีวู้ดมากขึ้น ขณะเดียวกันหนังฝรั่งเศสเดี๋ยวนี้ก็ไม่ขี้เหร่มีเนื้อเรื่องเต็มไปด้วยข้อคิดและสีสันมากมายน่าดูชม แต่การที่หนังตีตลาดได้กว้างขึ้นอาจจะเป็นเพราะ ฮอลลีวู้ดเองตะหากที่ย่ำอยู่กับที่ผลิตหนังเกรดบีเกรดซีออกมาในตลาดมากกว่าหนังเกรดเอ จนต้องซื้อหนังตลาดยุโรปไม่ก็หนังสเปน แม้แต่หนังเอเซียมารีเมคทำออกมาดูแก้เบื่อ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่คนดูตัดสินยังไงผมก็รู้สึกว่าคนดูหนังฉลาดเลือกมากกว่าเมื่อก่อนเยอะ การดูหนังก็ต้องมีการวิวัฒนการตามหนังไป เมื่อคนดูเป็นใหญ่ถือเป็นชัยชนะของคนดูครับ นั่นเองที่รางวัลออสการ์ก็ยังไม่พอ ต้องหันไปอาศัยการแยกคุณภาพจากเมืองคานส์ด้วย ..เดี๋ยวหลงกลผม ที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้ไมได้ชิงรางวัลอะไรหรอกนะครับ เอ่ยมาเฉย ๆ แค่เจอหนังดี ๆ ของต่างชาติก็ทำให้อารมณ์พาไปครับ

ไม่มีความคิดเห็น: