วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

คานธี "Gandhi"


______ใครบ้างไม่รู้จักประวัติการต่อสู้ขององค์มหาตมะผู้นี้ ท่านถือเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ที่ใช้ความอหิงสาได้ถูกที่ถูกทางเป็นที่สุดแม้จะประสบความสำเร็จในการเพียรพยายามต่อสู้ด้วยระยะเวลานานตราบนั้นหลายสิบปีผลที่ได้กลับไม่ใช่ชัยชนะที่นำความสุขสงบอย่างที่คิดไว้ หนังเรื่องนี้ต้องยกขึ้นหิ้งไว้เลยว่าทำได้สมบูรณ์ที่สุดในยุคนั้นและยากนักจะรีเมกใหม่ให้สมบูรณ์ได้อีกในยุคนี้ และ “เบนคิงสลี่ย์” เองก็จะไม่ได้รับบทดีอย่างนี้อีกต่อไปแล้ว (แต่บท ฮิทซัคสเติร์นใน ชิลเลอร์ลิสต์ ก็น่าชื่นชมมาก) หนังลงทุนถ่ายทำและฉายยาวกว่าสามชั่วโมงซึ่งช่วงปี 1980 ยังถือว่าขายออกอยู่ด้วยช่วงเศรษฐกิจอันตกต่ำคนมีเวลาพักผ่อนถมเถไม่ค่อยมีงานการทำ หนังถ่ายทอดเรื่องราวการต่อสู้ด้วยจิตอันสงบนิ่งและให้อภัยต่อผู้กระทำตอบเสมอแม้ตัวเองต้องถูกจองจำกี่หนที่ครั้งก็ยังยืนหยัดความตั้งใจ ที่น่าชื่นชมที่สุดคือ อินเดียเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่แต่มหาตมะผู้นี้ยังใช้เท้าเปล่าเดินเพื่อเชิญประชาชนร่วมเดินทางมาชุมนุมประท้วงยิ่งเดินไกลก็ยิ่งมีผู้ร่วมชุมนุมมากจนทั่วอินเดียคงกินพื้นที่ประมาณไม่ได้ว่ากี่ร้อยกี่พันกิโลเมตร หนังทำให้เราได้เห็นภาพตัวประกอบที่แสดงนั้นแสดงร่วมได้ดีมีชีวิตชีวาเหมือนได้ร่วมเหตุการณ์นั้นจริง ๆ ที่อุตส่าห์ยกหนังเรื่องนี้ลงจากหิ้งมาเขียนเพราะผมกำลังอยากจะเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปัจจุบันของไทย ที่เรามีกลุ่มชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลและประกาศว่าทำตามอย่างอหิงสา เวลาผ่านไปเนิ่นนานผมมองย้อนไปในหนังเห็นภาพความแตกแยกที่เป็นมรดกอันอัปยศที่อังกฤษมอบให้อินเดียคือแบ่งประเทศอินเดียออกจากกันและมอบผลประโยชน์ให้กับกลุ่มที่นิยมความรุนแรงที่สุดเพื่อห้ำหั่นเข่นฆ่ากับกลุ่มอื่น ๆ จนกระทั่งท่านคานธีต้องสังเวยชีวิตตนเพราะความแตกแยกที่เกิดขึ้นนั้น เนื่องจากอังกฤษฉลาดพอและทำได้สำเร็จผมจึงหวั่นกลัวเหลือเกินกับความแตกแยกที่อาจจะเป็นมรดกอัปยศมาซ้ำรอยให้ประเทศ สุดท้าย คานธีก็ต้องจบชีวิตเพราะความแตกแยกครั้งนี้ หวังว่าผมจะคิดมากไปเองนะครับ หนัง คานธี ทำให้ผมสะอื้นด้วยความประทับใจได้ แต่อย่าให้เหตุการณ์ที่กำลังเกิดต้องทำให้ใคร ๆ ต้องเสียน้ำตากันอีกเลย

ไม่มีความคิดเห็น: