วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

พลระห่ำ สงครามนรก "Jarhead"


______ได้ดูมาซักพักใหญ่แล้วรู้สึกติดใจดาราใหญ่รุ่นใหม่อย่าง “เจมี่ ฟอกซ์” ที่แสดงบทนำแบบน่าหมั่สไส้ได้เยี่ยม JarHead ในความหมายผมเข้าใจว่าน่าจะหมายถึง “หัวเกรียน” หรืออีกนัยน่าจะหมายถึง ชายชาตรี ลูกผู้ชายตัวจริง หนังเรื่องนี้สำหรับผมน่าจะขึ้นแท่นหนังคลาสสิคยุคปี 2000 เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ไม่ใช่หนังสงครามนะครับแม้จะเห็นฉากสนามรบทะเลทรายแต่เนื้อเรื่องนั้นถือว่าเสียดสีต่อต้านหนังสงครามแบบนิ่ม ๆ “เจค จิลเลนฮาล” ได้รับทนำในการดำเนินเรื่องตลอดทั้งเรื่องฝึกที่จะใช้ปืนไรเฟิลเพื่อสังหารศัตรูชนิดที่ว่า “นัดเดียวจอด” การฝึกเต็มไปด้วยแรงกดดันที่กองทัพบรรจุอัดใส่เขาและบรรดาทหารร่วมรุ่นให้พร้อมจะจู่โจมทำลายได้ทุกเมื่อ พอเอาเข้าจริง ๆ ภารกิจสำคัญในท้ายเรื่องกลับตาลปัตร ไม่มีการโจมตี ไม่มีการสังหาร ที่สำคัญไม่มีการยิงศัตรูแม้แต่นัดเดียว บังเกิดความอึดอัดแทบบ้าคลั่งกระหายสงครามในเส้นเลือดบรรดาพลทหารใหม่ขึ้นมาทันที แม้จะขอยิงซักนัดก็ไม่ได้ จนกระทั่งจบภารกิจสำคัญ จ่าฝูงอย่างเจมี่ฟอกซ์ก็อนุญาตให้บรรดาพลทหารระเบิดความอัดอั้นกระหน่ำยิงปืนขึ้นฟ้าชนิดที่ว่ามีกระสุนกี่ตับกี่แผงหรือก็นัดก็ไม่ต้องเหลือซักเม็ด ทำให้หนังจบลงได้อย่างโล่งใจ
______เมื่อดูจบแม้จะรู้สึกโล่งใจไปบ้างกับรรยากาศหนังในสงครามทะเลทรายบริเวณอ่าวเปอร์เซียที่ใคร ๆ ในแนวหลังอดเป็นห่วงไม่ได้ จะรู้สึกหวาดกลัวภัยที่เกิดขึ้นกับเยาวชนที่อาสารับใช้ชาติแห่งมหาอำนาจ ก็พวกเขาคนใดคนหนึ่งอาจจะตายได้ง่าย ๆ ก็เรื่องไม่เป็นเรื่อง จากการฝึก จากแรงกดดันที่ครูฝึกยัดใส่พวกเขาให้เกิดความอดทนอยากจะระเบิดกระสุนใส่ใครซักคนอย่างแม่นยำ สิ่งเหล่านี้แน่ใจหรือว่าลูกหลานที่เราเลี้ยงดูจนเติบโตขึ้นมาอย่างยากเย็นนั้น เราเต็มใจจะให้เขาไปเป็นมือสังหารระดับพระกาฬขนาดนี้ ที่เขาต้องเผชิญคำด่าทอขู่เข็ญเอาเป็นเอาตายลำบากขนาดนี้เพื่อจะได้มีแรงฆ่าคนที่เขาเห็นว่าเป็นศัตรูของประเทศ สิ่งที่ผมบอกว่าโล่งใจคือ มันจบลงได้กับสงครามที่ไม่ต้องฆ่าใคร มันน่าโล่งใจกว่ารึเปล่า? แทนที่จะต้องยิงใครตายซักคน ลองถามเพื่อนที่นั่งดูข้าง ๆ สิว่า หนังจบแบบยิงกระหน่ำทำสงครามกันอย่างสยดสยองจะมันสะใจดีหรือจบแบบทหารเกณฑ์มือสะอาดไม่เคยฆ่าใครเลยอะไรมันจะดีกว่ากัน...โฮ่ย..โล่ง

ไม่มีความคิดเห็น: