วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

มฤตยูหมอกกินมนุษย์ "The Mist"

______นักประพันธ์นาม สตีเฟ่นคิงส์ ถือว่ามีผลงานเขียนที่นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์มากที่สุด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหนังแนวสยองขวัญตามถนัด ล่าสุดผลงานที่คาดว่าสุดสยองแห่งปีในแนวสัตว์ประหลาดยึดเมืองที่นำเสนอในสหัสวรรษใหม่อย่างนี้น่าจะรู้สึกถึงความล้าสมัย นี่ถ้าไม่ได้ดาราคุ้นหน้าหลาย ๆ ท่านก็คงจัดเป็นหนังเกรดบีไปแล้ว The mist เป็นหนังที่เกิดเหตุการณ์ภายในวันเดียวแถวชุมชนเมืองเล็ก ๆ ถ้าภาษาบ้านเราก็ต้องหมายถึง บ้านนอก แต่บ้านนอกฝรั่งนี่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจดีทีเดียว ผู้คนส่วนใหญ่อาศัยเครื่องอุปโภคปริโภคจากซูปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมาร์เก็ตบ้านเขายิ่งกว่าบ้านเรา มีขายทุกอย่างจริง ๆ แม้แต่รถยนต์หรือกระทั่งปืนและกระสุน แต่ขอยกเว้นเครื่องเภสัชกรรมจะมีร้านต่างหากซึ่งเห็นได้จากในหนังที่ต้องวิ่งไปอีกร้านหนึ่งใกล้ ๆ จะเป็นร้านขายยา หนังเปิดตัวด้วยพายุประหลาดกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันตั้งแต่เช้าตรู่ หมอกปกคลุมทั่วเมืองและภายในหมอกก็เป็นที่อาศัยของบรรดาสัตว์ประหลาดซึ่งแล้วแต่คนทำหนังจะสร้างจินตนาการความน่ากลัวออกมากัดกินคนจนต้องหลบอยู่ภายในซูปเปอร์มาร์เก็ต คนจำนวนมากกับสถานที่แคบ ๆ ที่ต้องอาศัยร่วมกันเพื่อเอาตัวรอดให้พ้นจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งมันน่าจะใช่ประเด็นหลักของหนังมากกว่าดูการต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์ประหลาด สถานการณ์อันเลวร้ายมักจะสร้างวีรบุรุษที่มีจิตใจห้าวหาญเด็ดเดี่ยว แต่สำหรับ เดวิด (โธมัสเจน) ที่ขาดความเด็ดเดี่ยวจึงไม่สามารถจะแก้สถานการณ์อะไรได้เลยเขาวางตัวเป็นผู้นำเพียงกึ่งหนึ่งทำให้ขาดความเชื่อถือในบางช่วงนั้นทำให้สถานการณ์ยิ่งอันตรายถ้าบุคคลที่แทบไม่ได้เสนอตัวมาเพื่อแก้ปัญหาจนตรอกแบบนี้ ถ้าขืนขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศก็จะทำให้สถานการณ์สั่นคลอนได้เสมอ ยิ่งถ้ามีผู้นำคนใหม่ขโมยศรัทธาโดยอาศัยความสติแตกของฝูงชนมาใช้ประโยชน์อย่างคุณนาย คาร์โมดี้ (มาร์เซียฮาร์เดน) ทำให้ผมนึกถึงการไฮปาร์คโดยทั่วไปที่มักใช้มุขอ้างศาสนาจนกลายเป็นลัทธิความเชื่อยิ่งทำให้สติแตกกระจายกู่ไม่กลับไปใหญ่ สร้างผลเสียที่เลวร้ายกว่าการจะไปต่อสู้กับสัตว์ประหลาดที่อยู่ภายนอกมาร์เก็ตเสียอีก เชื่อเลยว่าคนสติแตกนั้นลืมง่าย เพียงกระสุนนัดเดียวที่หยุดคุณนายคาร์โมดี้ สถานการณ์ก็กลับคืนทันทีให้เราหันไปสู้กับปัญหาภายนอกเป็นการเรียกสติกลับคืน จะว่าไปอีกเรื่อง The mist กลายเป็นหนังที่ผมไม่อยากจะดูรอบที่สองก็ตรงจุดจบของหนัง ที่ความไม่เด็ดขาดและหนีปัญหาบังเกิดความโง่เขลามันกลับมาลงโทษตัวเราในท้ายที่สุด ถ้าคุณอยากจะนึกภาพการแก้ปัญหาด้วยการฆ่าตัวตายเพราะกลัวความทรมานจากการถูกสัตว์ประหลาดกัดกิน ในมือมีกระสุนที่รู้จำนวนอยู่แล้วว่าไม่พอแต่คนดูก็ไม่โง่และเดาเหตุการณ์ต่อไปได้ว่าจะต้องมีคนตายเพราะถูกทรมานแน่ ๆ หนึ่งคน หนังไม่ได้จบอย่างที่ควรจะเป็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเป็นดีจากการที่มีเหล่าทหารมาช่วยจัดการกับสัตว์ประหลาดนั้นมาช้าไปหน่อย มันทำให้ชายคนหนึ่งต้องทรมานไปตลอดชีวิตกับการหนีปัญหา หรือว่าพระเจ้าได้ลงโทษให้เขาตายทั้งเป็นกันแน่ ๆ ที่ผ่านมาในมาร์เก็ตถือเป็นการฝืนชะตาจากพระเจ้างั้นหรือ? แฟรงค์ดาราบอง ผู้กำกับมือทองหนังสยองขวัญทำให้ผมขวัญผวาไม่อยากดูหนังเรื่องนี้ซ้ำเป็นหนที่สองเพียงเพราะไม่อยากให้หนังจบแบบนี้แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเพียงแต่หนังสยองก็ต้องสยองมันจะแปลกแน่ ๆ ถ้าไม่จบแบบสยอง

ไม่มีความคิดเห็น: